สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การบำบัดรักษาด้วยการนวด(Massage Therapy)

การบำบัดรักษาโรคด้วยการนวดในคำนิยามของสมาคมการนวดของอเมริกัน(American Massage Therapy Association) มีว่า เป็น “…การจัดการกับเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่มเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค…” ที่มีการนวด ขยำ บีบ ลูบ และการบำบัดรักษาด้วยการนวดในรูปแบบอื่นๆ ที่ได้รับการยอมรับกันโดยใช้มือ หรือเครื่องมือที่เป็นเครื่องกลหรือเครื่องไฟฟ้า เป็นองค์ประกอบ และอาจมีการใช้น้ำมัน ยาผง ยาประคบร้อนและเย็น ฯลฯ ด้วยก็ได้

ในประวัติศาสตร์มีบันทึกที่เป็นหลักฐานอย่างดีเรื่อยมาเกี่ยวกับการนวด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลาย การบรรเทาความเจ็บปวดหรือการใช้สัมผัสเพื่อทำให้รู้สึกสบายขึ้นโดยการใช้สัมผัสล้วนเป็นประสบการณ์ของมนุษย์ทั่วไป

ชาวจีน อียิปต์ ฮินดู กรีก โรมันและชาวเปอร์เซีย ล้วนแต่ใช้ประโยชน์จากการนวดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยวิธีที่อารยธรรมโบราณหลายแหล่งใช้กันเพื่อบรรเทาความทรมานและความเจ็บปวด คือ การลูบและบีบนวดที่คอ หน้าอก หลัง และแขนขา

เมื่อหลายพันปีก่อน มีบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในตำราการแพทย์ภายใจของจักรพรรดิเหลือง หรือจักรพรรดิจิ๋นซี ซึ่งเมื่อ 2598 ปีก่อนคริสตกาลก็ได้สวรรคตลง และในตำนานโอดิสซี(Odyssey) ของโอเมอร์(Homer) ก็ได้เอ่ยถึงการนวดเอาไว้ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้บรรดาวีรบุรุษที่อ่อนแรงทั้งหลายได้ผ่อนคลายสบายขึ้นเหมือนกัน

ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล กาเลน(Galen) แพทย์และนักประพันธ์ชาวกรีก ได้เขียนตำราเกี่ยวกับการนวดแบบเบาและแรงเอาไว้ 4 เล่ม และนักเขียนชีวประวัติชาวกรีก ที่ชื่อ พลูทร์ช(Plutarch) ก็ได้เคยบรรยายว่า จูเลียส ซีซาร์(Julius Caesar) ได้ใช้ประโยชน์จากการนวด และยกย่องการนวดเอาไว้อย่างสูง

ที่เมืองบรมพุทโธ(Borobudur) ประเทศอินโดนีเซีย บริเวณผนังโบสถ์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.800 ก็มีภาพปั้นลายนูนเป็นภาพพระพุทธเจ้าขณะได้รับการนวด การนวดยังใช้ในวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองของแอฟริกา อเมริกาเหนือ และตามหมู่เกาะในแปซิฟิคใต้

ปัจจุบันนี้การนวดเพื่อการเยียวยารักษาโรคที่ใช้กันได้วิวัฒนาการมาจากการนวดทั้งของตะวันออกและตะวันตก คุณูปการของทางฝ่ายตะวันออกนั้นมาจากประเทศจีน อินเดียและญี่ปุ่น ส่วนทางตะวันตกในตอนต้นศตวรรษที่ 19 ในประเทศสวีเดน ก็สืบย้อนไปได้ถึง เพอร์ เฮนดริค ลิงก์(Per Hendrik Ling) ว่าได้พัฒนาระบบการนวดขึ้นมาระบบหนึ่ง และเป็นที่รู้จักกันในนามของการนวดแบบสวีเดนต่อมาในภายหลัง

แพทย์ชาวยุโรปได้ใช้เทคนิคการนวดเพื่อรักษาโรคเรื้อรังชนิดต่างๆ ในสมัยปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ในสหรัฐฯ นั้นคำว่า “นวด” (massage) ซึ่งปกติจะหมายถึง การนวดแบบสวีเดน และใช้เรื่อยมาจนถึงสมัยทศวรรษที่ 1980 จึงได้ให้มีความหมายรวมถึงการนวดตามแบบอื่นๆ ด้วย

ในสหรัฐฯ นายแพทย์คอร์นีเลียส อี. เดอ พาย(Cornelius E. De Puy) คือบิดาของการเยียวยารักษาโรคด้วยการนวด แต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก เมื่อปี ค.ศ.1814 เดอพายเรียนจบจากสถาบันแพทยศาสตร์ และในปี ค.ศ.1817 เขาก็ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนชิ้นแรกของเขาเกี่ยวกับการนวดลงในวารสาร แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีโอกาสพัฒนาการนวดต่อไปเนื่องจากเขาตายเมื่ออายุได้เพียง 29 ปีเท่านั้น

ความหมายเกี่ยวกับการเยียวยาด้วยการนวดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้มิได้กำหนดลักษณะเฉพาะเอาไว้แน่นอน แต่จะครอบคลุมถึงเทคนิคที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ กันมากมาย ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าการนวดทุกอย่างล้วนเป็นการช่วยบำบัดรักษา เช่นเดียวกับที่การอุดฟัน การทำความสะอาดฟัน และการถอนฟัน ล้วนเป็นรูปแบบหนึ่งของทันตกรรม

เทคนิคการนวดชนิดต่างๆ ในปัจจุบันมีใช้กันอยู่นับสิบๆ แบบ หมอนวดที่เชี่ยวชาญมักจะใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปด้วย

ปัจจุบันนี้ ได้จัดให้มีการสอบสำหรับหมอนวดที่ต้องการประกาศนียบัตร ที่สมาคมการเยียวยาด้วยการนวดของอเมริกัน

ได้มีการค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับการนวดเกิดขึ้นมากมายนับตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา บ้างก็ได้มีการประสาน หรือสังเคราะห์เทคนิคการนวดชนิดที่รู้จักกันดีสองแบบ หรือมากกว่านั้นเข้ามาไว้ด้วยกัน หรืออาจนำมาเพื่อเสริมเทคนิคพิเศษของตัวเองเข้าไปเพื่อสร้างเทคนิคใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เมื่อมีการเล่นกีฬากันมากขึ้นทั้งในระดับอาชีพ และสมัครเล่น เนื่องจากคนทั้งหลายได้ตระหนักถึงความสำคัญของความสมบูรณ์แข็งแกร่งของร่างกายกันมากขึ้น การนวดเพื่อการกีฬาก็ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการในกลุ่มนี้ด้วย

มีหลักฐานบันทึกไว้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับประโยชน์ของการนวดที่มีต่อร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ซึ่งเทคนิคการนวดส่วนใหญ่จะส่งผลทำให้การหมุนเวียนของโลหิตและน้ำเหลืองเพิ่มขึ้นช่วยให้มีออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้น ช่วยขจัดของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหาร และสารพิษอื่นๆ ออกไปจากร่างกาย ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด ทำให้ความเจ็บปวดลดลง ทำให้โลหิตเคลื่อนย้ายไปสู่หัวใจได้

มีข้อมูลที่ยืนยันถึงคุณค่าในเชิงรักษาโรคของการสัมผัสออกมาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มอายุใด หรืออาชีพใดก็ล้วนแต่ได้ประโยชน์จากการนวดเพื่อการเยียวยารักษาทั้งสิ้น

การใช้การนวดเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาดูจะล้าหลังกว่ายุโรปในเรื่องนี้ ซึ่งการนวดเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่มเพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ-กระดูกหมอจับกระดูกและหมอกระดูกทั้งหลายต่างใช้กันเป็นสามัญ บางประเทศในยุโรปเมื่อแพทย์เห็นสมควรก็มักจะสั่งให้ผู้ป่วยไปรับการนวดโดยไม่สั่งยาให้ การประกันสุขภาพก็ครอบคลุมถึงการรักษาด้วยวิธีนี้ด้วย แต่ในสหรัฐอเมริกานั้น ไม่มีธรรมเนียมที่แพทย์ปริญญาในสหรัฐฯ จะเขียนใบสั่งยากำหนดให้ผู้ป่วยที่เครียดไปรับการรักษาด้วยการนวด แต่จะเขียนใบสั่งยากล่อมประสาทให้เสียมากกว่า

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า