การเป็นสิว สร้างความวิตกกังวลให้กับหลาย ๆ คน แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิวที่กำลังขึ้นอยู่ ก็คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิว แบ่งเป็น แผลเป็นแบบชั่วคราว และ แผลเป็นแบบถาวร ที่หลายคนเรียกกันว่าหลุมสิว
สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวแบบชั่วคราวนั้น บริเวณผิวหนังจะยังคงเรียบ รอยแผลเป็นแค่รอยดำจากการอักเสบ ซึ่งสามารถหายไปได้ แม้ว่าบางครั้งอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ก็ตาม
การรักษารอยดำของแผลเป็นชั่วคราว ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ทาครีมกันแดด SPF 30+ เพื่อป้องกันการสัมผัสรังสี UV ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสีผิว เท่านี้ ไม่นาน รอยสิวก็จะหายไป
รอยแผลเป็นที่มีปัญหากับทุกคนมาก คือ รอยหลุมสิว เนื่องจากเป็นการยากที่จะรักษารอยแผลให้หมด อย่างไรก็ตามแม้จะยากแต่ก็ยังมีวิธีการปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้นได้ หากทำตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนังดังต่อไปนี้
1. ใช้ครีม หรือ เจล
ครีมรักษาแผลเป็นโดยทั่วไปจะไม่สามารถใช้ได้กับแผลหลุมสิว ให้เลือกใช้ครีมหรือเจล ดังนี้
Adapalene (อะดาพาลีน) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Differin gel ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวจากสิวได้ อย่างไรก็ตามการใช้งานควรเป็นไปตามคำแนะนำที่ถูกต้องของแพทย์ เพราะมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวแห้ง ลอก ระคายเคือง
โดยปกติแล้วการใช้ Differin จะทาบาง ๆ แล้วทาทับด้วยครีมบำรุงผิว ซึ่งจะทาก่อนนอนในเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะ Differin จะเพิ่มความไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดผลเสียต่อสภาพผิว
มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Dermatology พบว่า เจล Epiduo ซึ่งมีส่วนผสมของ Adapalene อย่างอ่อน และยาปฏิชีวนะ benzoyl peroxide สามารถลดสิวและรอยแผลได้อย่างเห็นผล แต่ก็เช่นเดียวกัน จะต้องใช้ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์ เพราะมีผลต่อการระคายเคือง ต้องใช้ในช่วงเวลาเย็นเท่านั้น
2. เลเซอร์
เลเซอร์ช่วยในการลดรอยแผล และปรับสภาพผิวโดยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และ อิลาสติน
3. ฉีดยา
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาแผลหลุมสิว ซึ่งแพทย์ผิวหนังอาจจะแนะนำวิธีนี้ในการรักษา
4. การใช้เข็ม (Microneedling)
Microneedling เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กทิ่มลงบนผิวหน้าเพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
5. ศัลยกรรมผ่าตัด รักษาสิว
เช่น การเย็บหลุมสิว เหมาะกับสิวที่เป็นหลุมลึก
แน่นอนว่า รอยแผลสิว เป็นสิ่งที่สร้างกังวลให้กับหลายคน อย่างไรก็ตามการรักษาควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ อย่าตัดสินใจทำเองโดยเพียงแค่อ่านรีวิวจากอินเตอร์เน็ต เพราะประเภทรอยแผลและสภาพผิวของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันก็มีวิธีรักษาที่ต่างกันไป การรักษาที่ผิดวิธีนอกจากจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว อาจทำให้ผิวหน้าแย่กว่าเดิมอีก