ที่มา:เรวัตร พันธุ์กิ่งทองคำ ,ประดิษฐ์ ปัญจวีณีน
ในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง การสร้างที่อยู่อาศัยรวมทั้งอาหาร และยาที่มนุษย์บริโภคเข้าไป เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าในแง่วัตถุมากขึ้น มนุษย์ก็ต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากขึ้นด้วย มลพิษเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้นแล้วทำให้มีผลกระทบต่อตนเองและสังคม
สำหรับมลพิษหรือสารพิษที่มีบทบาทมากในยุคปัจจุบัน เนื่องจากมนุษย์ยังนิยมที่จะบริโภคสิ่งเหล่านี้ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันทำให้เกิดผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น อาทิ เหล้าและบุหรี่ สารพิษทั้งสองอย่างนี้มีผลทำให้หัวใจและหลอดเลือดมีการเปลี่ยนแปลง และทำให้ประชากรต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ผลของบุหรี่และเหล้าที่มีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
บุหรี่กับหัวใจและหลอดเลือด
การหายใจเอาควันบุหรี่เข้าไปในร่างกายไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น สมาคมโรคหัวใจของอเมริกาสรุป ว่าคนที่ได้รับควันบุหรี่เข้าไปนั้นจะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ในสหรัฐอเมริกาพบว่าคนที่ได้รับควันบุหรี่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจประมาณ ๓๐,๐๐๐- ๖๐,๐๐๐ รายต่อปี และมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนปรกติถึง ๓ เท่า
สารต่างๆ ที่อยู่ในควันบุหรี่มีมากกว่า ๔,๐๐๐ ชนิด แต่สารที่เชื่อว่าน่าจะมีบทบาททำให้เกิดโรคหลอดเลือด ได้แก่ นิโคติน, คาร์บอนมอนออกไซด์, โพลีย์ศัยคลิค แอโรแมติค ฮัยโดรคาร์บอน และกลัยโคโปรเทอิน ในบุหรี่
จากการศึกษาด้านวิทยาการระบาดพบว่าการสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งอย่างชัดเจน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอันนี้นำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ, การเสียชีวิตฉับพลัน, โรคหลอดเลือดสมอง, แอออร์ตา ส่วนท้องโป่งพอง รวมทั้งโรคหลอดเลือดส่วนรอบ
ภาวะหลอดเลือดแข็งจากการสูบบุหรี่
ในควันบุหรี่นั้นมีสารมากกว่า ๔,๐๐๐ ชนิด ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหัวใจและหลอดเลือด ในด้านพยาธิสภาพ, สรีรภาพ, โลหิตวิทยา, รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงทางเมแทบอสิสม (ตารางที่ ๑)
พยาธิวิทยา
ภาวะหลอดเลือดแข็งนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการตีบแคบของหลอดเลือดแดงซึ่งมีกลวิธานที่ซับซ้อน ได้แก่ อันตรายต่อเซลล์เยื่อบุ การงอกเกินของกล้ามเนื้อเรียบหลอดเลือด กัมมันตภาพของแมโครเฟจ การเกิดเซลล์ฟอง การสะสมสารไขมัน รวมทั้งการเกิดปื้นหนา และปื้นหินปูน การดำเนินต่อไปของพยาธิสภาพอาศัยกลวิธานทาง เมแทบอสิสม และสรีรวิทยา พยาธิสภาพนี้จะสามารถลดลงได้ถ้ามีการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจน โดยการฉีดสีที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แล้วพบว่าการตีบของหลอดเลือดแดง โคโรนารีย์ ลดลง
เชื่อว่า นิโคตีนทำให้เกิดภยันตรายต่อเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงประกอบกับสารนี้มีผลทำให้ชีพจรและความดันเลือดสูงขึ้น ทำให้มี shear stress มากขึ้น รวมทั้งมีผลทำให้มีการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดและกัมมันตภาพการละลายไฟบรินมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ และพบว่าควัน บุหรี่โดยเฉพาะคาร์บอนมอนออกไซด์ เองมีผลทำให้มีการงอกเกินของกล้ามเนื้อเรียบหลอดเลือด โดยผ่านทางปัจจัยการงอกเจริญซึ่งหลั่งจากเกล็ดเลือด (platelet derived growth factor) ที่มาเกาะที่เยื่อบุหลอดเลือดที่บาดเจ็บ
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าสารที่อยู่ในควันบุหรี่เองมีผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อหัวใจ เนื่องจากว่ามันมีผลต่อ myocardial mitochondrial oxidation และหลอดเลือดเล็กๆ ด้วย
สรีรวิทยา
การสูบบุหรี่มีผลโดยตรงต่อระบบประสาท สิย์มพะเธติค โดยมันจะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของชีพจร, ความดันเลือด และการส่งเลือดออกจากหัวใจ, ซึ่ง ทำให้มีการใช้ออกซีย์เจนของกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น, และยังมีผลทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวด้วย หลอดเลือดแดงโคโรนารีย์ มีความไวต่อการสูบบุหรี่มาก ซึ่งจะหดตัวอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับควันบุหรี่โดยผ่านทาง พรอสตาแกลนดิน และ เฟวโสเพรสสิน รวมทั้งสารแคทีฆอลอะมีน
พบว่าคนที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงโคโรนารีย์ หดตัวมากกว่าคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ถึง ๒๐ เท่า นอกจากนั้นมันยังทำให้มีการลดลง
ตารางที่ ๑ ผลของการสูบบุหรี่ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลทางพยาธิวิทยา
อันตรายต่อเยื่อบุชั้นในหลอดเลือด
การงอกเกินของกล้ามเนื้อเรียบ
กระตุ้นริเริ่มหลอดเลือดแข็งและการรุดหน้า
โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
ผลทางสรีรวิทยา
เพิ่มขึ้น : แรงดันเลือด
อัตราเต้นหัวใจ
ความต้องการออกซีย์เจนและโภชนสารของกล้ามเนื้อหัวใจ
แรงต้านภายในหลอดเลือดส่วนรอบ
หลอดเลือดหดตัว
ลด ventricular fibrillation threshold
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
Coronary artery flow autoregulation เสื่อมหน้าที่
ผลทางโลหิตวิทยา
หลั่ง platelet factors that activate atherosclerotic process
เพิ่มขึ้น : การปลดปล่อย ธร็อมบอกเซน
การจับกลุ่มของเกล็ดเลือด
การยึดติดของเกล็ดเลือดกับเยื่อบุ
ระดับไฟบริโนเจนและแฟคเตอร์ ๗
ความหนืดของพลาสมา
ลดลง: การปลดปล่อย พรอสตาศัยคลีน
การอยู่รอดของเกล็ดเลือด
Red cell deformability
เวลาเลือดออก
ผลของแอสไพรินต่อเกล็ดเลือด
ผลของเมแทบอลิสม
เพิ่มขึ้น: ไขมันเสรีและ วีแอลดีแอล-โฆเลสเทอรอล ในสีรั่ม
ฮอร์โมนการเจริญเติบโต
คอร์ทิสอล
กลูโคส
ฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ
ระดับ กลีย์เศอรอล, แลคเทต และ ฟัยรูเฟวต
ลดลง: เอ็ชดีแอล-โฆเลสเทอรอล ในสีรั่ม
ระดับ เอสโตรเจน ในสีรั่ม
ฮอร์โมนการเจริญเติบโต
ทำให้ metabolism of medications เปลี่ยนแปลง
ของการไหลเลือดโคโรนารีย์ สำรองอีกด้วย ซึ่งผลจากการที่บุหรี่ทำให้หลอดเลือดโคโรนารีย์ หดตัวรวมทั้งทำให้มีอันตรายต่อเยื่อบุหลอดเลือดนั้น ทำให้เกิดปื้นหนา รวมทั้งธร็อมบัส เฉพาะที่ และในที่สุดก็จะเกิดกลุ่มอาการโคโรนารีย์ ฉับพลัน
สารที่สำคัญในบุหรี่ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาคือ นิโคตีน และคาร์บอนมอนออกไซด์ นิโคตีนจะกระตุ้นให้มีการหลั่งสาร เอพิเนฟรีน ออกมาจากต่อมหมวกไต และ นอร์เอพิเนฟรีน ออกมาจาก ฮัยโปธาลามัส และปลายประสาท แอดรีเนอร์จิค สารทั้งสองตัวนี้มีผลทำให้มีการเพิ่มขึ้นของชีพจร ความดันเลือด การบีบตัวของหัวใจ ทำให้การใช้ออกซีย์เจนของกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น
ส่วน คาร์บอนมอนออกไซด์ ซึ่งมีประมาณร้อยละ ๓-๖ ในควันบุหรี่ก็จะจับกับฮีโมโกลบินอย่างแน่น ทำให้ออกซีย์ฮีโมโกลบิน ลดลง ดังนั้น ออกซีย์เจน ที่จะไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็ลดลง นอกจากนี้ภาวะขาดออกซีย์เจนนานๆ จะทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากขึ้น (โพลีย์ศัยธีเมีย) ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปสู่หลอดเลือด โคโรนารีย์ ลดลง ทั้งหมดนี้ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้มากขึ้นด้วย
พบว่านิโคตินยังทำให้มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจ เต้นผิดจังหวะโดยเฉพาะ เฟว็นตริคุลาร์ ไฟบริลเลชั่น เพิ่มมากขึ้น โดยผ่านทางการกระตุ้นให้มีการหลั่ง ของแคทีฆอลอะมีน ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่จึงมีโอกาสเกิดการเสียชีวิตฉับพลันได้บ่อยขึ้นด้วย
โลหิตวิทยา
การสูบบุหรี่ทำให้มีการยับยั้งการทำงานของเอนซัยม์ศัยโคลออกซีย์เจเนส ทำให้การสร้างพรอสตาศัยคลีนลดลง แต่มีการสร้าง ธร็อมบอกเซน มากขึ้น ซึ่งโดยปรกติ พรอสตาศัยคลีนจะทำหน้าที่ยับยั้งการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และธร็อมบอกเซน ทำให้หลอดเลือดมีการหดตัว ดังนั้นเมื่อพรอสตาศัยคลีนลดลง เกล็ดเลือดจึงจับกลุ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ธร็อมบอกเซนที่มีมากขึ้นก็จะทำให้หลอดเลือดหดตัวมากขึ้น นอกจากนี้เกล็ดเลือดเอง ยังกระตุ้นให้เกิดการงอกเกินของกล้ามเนื้อเรียบ หลังจากได้รับควันบุหรี่ด้วย
การสูบบุหรี่ทำให้พลาสมามีความหนืดเพิ่มขึ้น ระดับไฟบริโนเจน และแฟคเตอร์ ๗ เพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้มีการลดลงของ red cell deformity และ พลาสมิโนเจน จากหลักฐานต่างๆ ที่ได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ ทำให้มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดแดงอุดตันได้มาก มีรายงานว่าแอสไพรินที่กดการทำงานของเกล็ดเลือดนั้นกลับไม่เป็นผลดีเนื่องจากมีสารแคทีฆอลอะมีนมากขึ้นในคนที่สูบบุหรี่ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะได้ แอสไพริน ก็ยังมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดงได้
เมแทบอสิสม
การสูบบุหรี่นั้นทำให้มีการเปลี่ยนแปลงใน ไลโพโปรเทอิน รวมทั้งปัจจัยทาง เมแทบอสิสมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็ง โดย นิโคติน จะกระตุ้นระบบประสาทสิย์มพะเธติค ทำให้กรดไขมันเสรีและ VLDL สูงขึ้น ทำให้ HDLซึ่งมีฤทธิ์ป้องกันหลอดเลือดแข็งนั้นมีปริมาณลดลง จากการศึกษา พบว่าการหยุดสูบบุหรี่จะทำให้ระดับ HDL สูงขึ้นได้ ประมาณ ๖-๘ มก. ต่อวัน
นอกจากนั้นการสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเมแทบอลิสม อีกหลายอย่าง ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของกรดไขมันเสรี ฮอร์โมนการเจริญเติบโต คอร์ติสอล ดีตีเอ็ช กลูโคส โฆเลสเทอรอล แลคเทต และพัยรูเฟวต
ผลทางเวชกรรม
-โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
-โรคหลอดเลือดสมอง
-โรคหลอดเลือดส่วนรอบอุดตัน
-โรคความดันเลือดสูง
-แอออร์ตา โป่งพองในช่องท้อง
โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
การสูบบุหรี่ทำให้ความต้องการออกซีย์เจนของกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มมากขึ้นและปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ทำให้คนที่มีโรคหลอด เลือดหัวใจตีบอยู่แล้วเกิดอาการเจ็บหน้าอกหรือ เกิดอาการทางหัวใจได้บ่อยขึ้น มีการศึกษาพบว่าคนที่สูบบุหรี่ ๑ ซองต่อวันจะทำให้มีโอกาสเกิดโรค หลอดเลือดหัวใจอุดตันมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง ๓ เท่า
นอกจากนี้พบว่าการสูบบุหรี่ยังทำให้ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดนั้นมีประสิทธิภาพลดลง และประโยชน์ที่ได้จากยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายในระยะยาวลดลงด้วย การสูบบุหรี่ยังเพิ่มโอกาสที่กล้ามเนื้อหัวใจจะเกิดเนื้อตายซํ้า (reinfarction) จากร้อยละ ๖.๓ ในคนที่ไม่สูบบุหรี่ เป็นร้อยละ ๑๒.๕ ในคนที่สูบบุหรี่ด้วย
ผลจากการเลิกสูบบุหรี่
จากหลักฐานต่างๆ พบว่าการหยุดสูบบุหรี่จะทำให้อุบัติการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง (cardiac arrest, coronary death, AMI). การศึกษาของแฟรมิงก์แฮม พบว่าการหยุดสูบบุหรี่ ในคนที่สูบไม่มาก (๑๐ มวนต่อวัน) จะสามารถลดการเกิดอาการทางหัวใจฉับพลันได้ร้อยละ ๒๐ ใน ๒ ปี และลดลงได้ประมาณร้อยละ ๖๐ ในคนที่สูบบุหรี่มาก (๔๐ มวนต่อวัน)
พบว่าคนที่สูบบุหรี่จะมีอัตราการตีบซ้ำของหลอดเลือดแดงโคโรนารีย์หลังจากการขยายหลอดเลือดด้วยลูกโป่งมากกว่าคนที่หยุดสูบบุหรี่ด้วย
โรคหลอดเลือดสมอง
การสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองโดยผ่านทางกลวิธานที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและมีการอุดตันของหลอด เลือดดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว อัตราเสี่ยงสัมพัทธ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในคนที่สูบบุหรี่นั้น ประมาณ ๑.๕-๓ เท่าของคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ นอกจากนั้นพบว่าอัตราเสี่ยงที่จะเกิดภาวะตกเลือดในสมองนั้นจะเพิ่มขึ้นในคนที่สูบบุหรี่โดยเฉพาะในผู้หญิง และอัตราเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน
จากการศึกษาของ แฟรมิงก์แฮม พบว่าโอกาสที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงหลังจากเลิกสูบบุหรี่ประมาณ ๒ ปี และอัตราเสี่ยงนี้จะใกล้เคียงกับ คนที่ไม่ได้สูบบุหรี่หลังจากเลิกสูบประมาณ ๕ ปี
โรคหลอดเลือดส่วนรอบ
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเกิดโรคหลอดเลือดส่วนรอบทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย โดยกลวิธานที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง
และการที่หลอดเลือดส่วนรอบหดตัว (ผ่านทาง แคทีฆอลอะมีน ที่สูงขึ้น)นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่จะทำให้อัตราเปิดโล่ง (patency rate)
ของกราฟท์หลอดเลือดดำ ฟีมอโรพอพลิเทียล ลดลง และมีการศึกษาบ่งชี้ว่าคาร์บอนมอนออกไซด์ และคาร์บอกซีย์ฮีโมโกลบิน ที่เพิ่มมากขึ้นในคนที่สูบบุหรี่นั้นจะทำให้การเปิดโล่งของกราฟท์ หลอดเลือดต่างๆ ลดลงด้วย
แอออร์ตา โป่งพองในช่องท้อง
แอออร์ตาโป่งพองในช่องท้องส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแข็ง ส่วนน้อยเกิดจากสาเหตุอื่น การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งกระจายทั่วในหลอดเลือดแอออร์ตา ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม และอัตราตายจากการแตกของหลอดเลือดโป่งพอง ในคนที่สูบบุหรี่จะสูงกว่าในคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ จากการศึกษาพบว่าการเลิกสูบบุหรี่สามารถลดอัตราตาย จากแอออร์ตา โป่งพองในช่องท้องได้ถึงร้อยละ ๕๐ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
โรคความดันเลือดสูง
มีข้อมูลทางวิทยาการระบาดแสดงว่าคนที่สูบบุหรี่มีแรงดันเลือดสูงกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ และการสูบบุหรี่เพียง ๒ มวนก็จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ แรงดันเลือด, ชีพจร, เอซีทีเอ็ช, คอร์ทิสอล, อัลโดสทีโรน และแคทีฆอลอะมีน
นอกจากนี้ในภาวะความดันเลือดสูงร้าย (malignant hypertension) และโรคความดันเลือดสูงเหตุหลอดเลือดไต ก็พบในคนที่สูบบุหรี่มากกว่าด้วย จากหลายการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่ทำให้การรักษาความดันเลือดสูงไม่ดีเท่ากับในคนที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งส่วนหนึ่งคงเกี่ยวกับการที่บุหรี่กระตุ้น ศัยโทโฆรม-๔๕๐ ซึ่งทำให้มีการทำลายยาที่ตับมากขึ้น ทำให้ยาลดความดันเลือดถูกทำลายไปเร็วกว่าปรกติ จึงไม่สามารถควบคุมความดันเลือดได้
แอลกอฮอล์กับหัวใจและหลอดเลือด
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าสารอีธานอล ส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองและตับ ๒๐ ปีที่ผ่านมา พบว่าสารนี้ยังมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดด้วย การสูบบุหรี่และการดื่มสุราร่วมกันก็ยังมีผลเสียต่อหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น
การดื่มสุราอย่างมากเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดความผิดปรกติของหัวใจและหลอดเลือดได้หลายอย่าง อาทิ ความดันเลือดสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจเหตุแอลกอฮอล์
Alcoholic heart muscle disease (AHMD) มักจะถูกเรียกโดยใช้ชื่อว่า alcoholic cardiomyopathy ซึ่งเป็นการเรียกที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะคำว่า cardiomyopathy ควรหมายถึงโรคของกล้ามเนื้อหัวใจที่ไม่เสาเหตุ แต่ในกรณีนี้มีสาเหตุจากการดื่มสุรา จึงควรใช้คำว่า alcoholic heart muscle disease (AHMD) จะถูกต้องกว่า
โรคนี้มีลักษณะเวชกรรมหลายอย่างคล้ายกับโรคเหน็บชาจับหัวใจ (cardiac beriberi) ได้แก่ หัวใจโตขึ้น, ชีพจรเร็ว, บวม และแรงดันภายใน หลอดเลือดดำสูง (elevated JVP), แต่ต่างกันที่ AHMD มีปริมาณเลือดออกจากหัวใจ และการบีบของตัวเฟว็นตริเคิล ลดลง ส่วนโรคเหน็บชาจับหัวใจมีปริมาณเลือดออกจากหัวใจสูงและ เฟว็นตริเคิล บีบตัวแรง AHMD มักจะเกิดในคนดื่มสุราที่ได้รับอีธานอล มากกว่า ๘๐ กรัมต่อวันนานกว่า ๑๐ ปี
กำเนิดพยาธิ
ปัจจุบันยังไม่มีกลวิธานที่แน่ชัดในการอธิบายการเกิด AHMD แต่จากการศึกษาต่างๆ พบว่าการเสพสุรานานๆ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่กล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งอาจจะเกิดจากอีธานอล โดยตรงหรืออาจจะเกิดจาก เมแทบอไลด์ ของมันก็ได้ (แผนภูมิ ที่ ๑-๒)
สมมุติฐานของการเกิด AHMD ได้แก่
-ปัจจัยทางโภชนาการ
-ความผิดปรกติของสารอิเลคโทรลัยต์
-ปัจจัยทางพันธุกรรม
-ภาวะเป็นพิษโดยตรงของอีธานอล รวมทั้ง เมแทบอไลต์ (แอเศทัลดีฮัยด์) ของมัน
ความผิดปรกติทางชีวเคมี
การดื่มสุราทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี ของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหัวใจหลายอย่าง ดังนี้
-มีการสร้าง เอทีพี และการแลกเปลี่ยนของ โสเดียม และแคลเซียม ที่แผ่นเยื่อพลาสมาเลมบัล
-มีการลดลงของ calcium uptake โดย สารโคพลาสมิค เรทิคุลัม
-การสร้างพลังงานที่ ไมโทฆอนเดรีย ลดลง
-มีการยับยั้งการสร้างโปรเทอินชนิดหดตัว (นอกกาย)
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ไม่สามารถแยกได้ระหว่าง AHMD กับ idiopathic dilated cardio-myopathy การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยประวัติและ ลักษณะเวชกรรม
ลักษณะเวชกรรม
ผู้ป่วยหลายรายที่ดื่มสุรามานานอาจเกิด dysfunction ของหัวใจห้องซ้ายล่างโดยไม่แสดงอาการได้ ต่อมาเมื่อพยาธิสภาพเป็นมากขึ้นก็จะมีอาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลวตามมา ได้แก่
-หอบเหนื่อยนอนราบไม่ได้
-หอบเหนื่อยเป็นช่วงๆ ตอนกลางคืน
-ภาวะบวมน้ำ
-อ่อนเพลียและอ่อนแรง
-S3 gallop
-เสียงครางของลิ้นไมตรัลรั่ว
-ภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลว
ความผิดปรกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
-poor R wave progression in anterior chest lead
-nonspecific ST-T change
-LAE, LVH
-ความผิดปรกติของการสื่อนำ (LBBB RBBB) พบประมาณ ๑๐%
-หัวใจเต้นผิดจังหวะ (โดยเฉพาะ เอเตรียลฟิบริลเลชั่น และ พีวีซี)
ความผิดปรกติของคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ ( echocardiography)
-ห้องหัวใจโต (โดยเฉพาะหัวใจห้องซ้ายบน และห้องซ้ายล่าง)
-อาจพบสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ
-อาจพบลิ้นหัวใจไมตรัลรั่วน้อยๆ จนถึงปานกลาง
-left ventricular ejection fraction ต่ำ
อาจตรวจพบ ธร็อมบัส ในหัวใจห้องซ้ายล่าง
การตัดชิ้นเนื้อหัวใจ
การทำไบออฟซีย์กล้ามเนื้อหัวใจ (endomyocardial biopsy) เพื่อการตรวจวินิจฉัย AHMD นั้น ไม่ค่อยได้ประโยชน์, เพราะโรคนี้ไม่มีพยาธิสภาพ การเปลี่ยนแปลงที่จำเพาะ การตรวจนี้จะกระทำก็ต่อเมื่อสงสัยโรคอื่นๆ เช่น อะมัยลอยโดสิส ซึ่งอาจมาด้วยอาการที่คล้าย AHMD ได้
การรักษา
เป้าหมายที่สำคัญของการรักษา AHMD ก็คือต้องเลิกดื่มสุราโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีข้อมูลว่าการหยุดดื่มสุราใน AHMD นั้นอาจจะทำให้การทำงานของเฟว็นตรีเคิลซ้ายดีขึ้นได้บ้าง ส่วนการรักษาอื่นๆ ก็คล้ายกับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวคั่งเลือดทั่วไป ได้แก่ ลดปริมาณเกลือในอาหารให้ยาขับปัสสาวะ บริหารดิกอกซิน และยาขยายหลอดเลือด คนที่ดื่มสุรามากบางรายที่มีการขาด สารอาหารและวิตามินบีหนึ่ง ก็ควรให้วิตามินเสริมไปด้วย
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะกับการดื่มสุรา
ในคนที่ดื่มสุรานั้นจะพบภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะกับการสื่อนำไฟฟ้าในหัวใจผิดปรกติบ่อยกว่าภาวะหัวใจล้มเหลว ความผิดปรกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจในคนเหล่านี้ได้แก่ bundle branch block, atrio-ventricular block รวมทั้งหัวใจห้องบน และหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะ
หัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ (atrial arrhythmias)
หัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะหลายชนิดที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุรา เมื่อปี ๒๕๒๑ เอททิงเกอร์ได้ รายงานเกี่ยวกับกลุ่มอาการหัวใจ วันหยุด (Holiday heart syndrome) ซึ่งก็คือ supraventricular arrhythmias ที่เกิดขึ้นหลังดื่มสุราเข้าไป ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่พบบ่อยที่สุดคือ atrial fibrillation, atrial tachycardia, PAC
กลวิธานในการเกิดหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะนั้นมีหลายอย่าง ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของแคทีฆอลอะมีน และการเปลี่ยนแปลงของ myocardial refractory periods และเวลาการสื่อนำ การใช้ยากลุ่มสกัดกั้นเบต้า สามารถควบคุมหัวใจเต้นผิดจังหวะเหล่านี้ได้ด้วย
หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะ (ventricular arrhythmias)
ในคนที่ดื่มสุรานั้นจะมี PVC บ่อยขึ้นไม่ว่าจะ มีโรคหัวใจอยู่ก่อนหรือไม่ ปัจจัยที่อาจจะทำให้เกิดได้คือ การที่มี heterogeneous conduction และ refractory period ทั่วทั้งกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งการที่มี heterogeneity ของ conduction delay นี้จะทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วและเกิด ฟิบริลเลชั่น ได้โดยผ่านกลวิธาน reentry นอกจากนี้หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะยังอาจถูกกระตุ้นได้จากปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุราได้แก่ ภาวะขาดแมกนีเสียม การหยุดหายใจช่วงหลับเป็นต้น
นอกจากนั้นยังพบว่าในคนที่ดื่มสุรามานานแล้ว หยุดดื่มทันทีจะทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ทั้งห้องบนและห้องล่าง อันเนื่องมาจากการกระตุ้น ระบบประสาท สิย์มพะเธติคอย่างมาก ทำให้สารแคทีฆอลอะมีน หลั่งออกมากระตุ้นหัวใจ
โรคความดันเลือดสูงกับการดื่มสุรา
ในปี ๒๔๕๓ ไลออน ได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันเลือดสูงกับการดื่มสุรา ต่อมาก็มีการพิสูจน์พบว่าการดื่มสุรานานๆ ทำให้เกิดความดันเลือดสูงได้จริง และพบว่าในคนที่ดื่มสุรามากกว่า ๒๐-๔๐ กรัมต่อวันจะทำให้ความดันสิย์สโทลิค เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
กลวิธานที่ทำให้แรงดันเลือดสูงนั้นมีสมมุติฐานหลายอย่าง ได้แก่
ก. มีการคั่งของเกลือและน้ำในร่างกาย
ข. รีเฟล็กซ์ บาโรรีเศปเตอร์ ทำงานลดลง
ค. เนื้อเยื่อของหลอดเลือดมีการตอบสนองต่อสารที่ทำให้หดตัวเพิ่มขึ้น
ง. การตอบสนองของหลอดเลือดต่อสารที่ทำให้มีการขยายตัวลดลง
จ. ปฏิกิริยาระหว่างอิออน โสเดียม แมกนี เสียม และแคลเซียม
แต่อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบแน่นอนว่าความดันเลือดสูงที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการดื่มสุรา หรือเป็นแค่อาการถอนสุรา
โรคหลอดเลือดหัวใจกับการดื่มสุรา
การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าการดื่มสุราในขนาดปานกลางหรือมากนั้นทำให้ระดับไตรกลีย์เศอไรด์ในเลือดสูงขึ้น ทำให้คาดว่าการดื่มสุราปริมาณมากเป็นเวลานานนั้นน่าจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าการดื่มสุรานั้นทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น
มีข้อมูลบางอันบ่งชี้ว่าการดื่มสุราในปริมาณที่น้อยกว่า ๕๖ กรัมต่อวัน อาจช่วยลดอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ เชื่อว่าเกิดจากการที่สุราทำให้ระดับ HDL สูงขึ้น ไฟบริโนเจนลดลง กัมมันตภาพการละลายไฟบรินสูงขึ้น และยับยั้งการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด
ในปัจจุบันข้อมูลอันนี้ก็ยังเป็นที่โต้แย้งกันและไม่พบว่าการดื่มสุราจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอีกด้วย ในทางตรงข้ามพบว่าการดื่มสุราอย่างมากจะทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น นอกจากนั้นยังพบว่าการดื่มสุราในขนาดน้อยถึงปานกลาง แม้ว่ามีแนวโน้มว่าจะลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ แต่ก็เพิ่มอัตราตายจากโรคความดันเลือดสูงและภาวะตกเลือดในสมอง
สมาคมแพทย์โรคหัวใจในประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าไม่ควรดื่มสุรามากกว่า ๓๐ กรัมของ อีธานอล ต่อวันในผู้ชาย โดยอาศัยข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่พบว่าการดื่มสุราขนาดนี้จะทำให้มีโอกาสเสียชีวิต จากโรคความดันเลือดสูงและโรคตกเลือดในสมองไม่มากนัก
โดยสรุปการดื่มสุราทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของระบบหลอดเลือดและหัวใจหลายอย่าง ซึ่งอาจจะเกิดจากผลของอีธานอล โดยตรงหรือจาก เมแท- บอไลต์ ของมันหรืออาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นการเลิกดื่มสุราหรือการลดการดื่มสุราก็จะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้