สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ศัลยกรรมด้วยร่างทรง(Psychic Surgery)

เป็นกระบวนการผ่าตัดที่มีร่างทรงเป็นศัลยแพทย์ทำหน้าที่วินิจฉัยระดับความป่วยไข้ และเป็นผู้ดำเนินการผ่าตัดด้วย

การทำศัลยกรรมด้วยร่างทรง ก็ทำด้วยเหตุผลต่างๆ ที่เป็นอย่างเดียวกันกับศัลยกรรมธรรมดา เช่น เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่เป็นโรค เนื้องอกที่เป็นเนื้อร้าย และเนื้องอกธรรมดา ซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย และแก้ไขการทำงานที่บกพร่องหรือผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดชนิดล้างอาถรรพ์ หรือคำสาป หรืออาคม กำจัดของที่ถูกกระทำ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาทางกายออกไปด้วย

ศัลยกรรมด้วยร่างทรงเป็นแนวคิดหรือปรากฏการณ์ที่ยากที่จะให้คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ แต่ในบราซิล เม็กซิโก และหมู่เกาะต่างๆ ในประเทศฟิลิปปินส์ ได้รับความนิยมจากวิธีการนี้กันมาก

การทำศัลยกรรมด้วยร่างทรง มักจะทำกันในสภาพแวดล้อมที่สกปรก ไม่ต้องใช้ยาสลบ ไม่ต้องฆ่าเชื้อ ตลอดเวลาการผ่าตัดผู้ป่วยจะรู้สึกตัวดีและไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ศัลยแพทย์ทางจิตบางคนสามารถทำให้ร่างกายคนไข้เปิดออกด้วยมือเปล่า โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือผ่าตัด บางคนก็ใช้เครื่องมือหยาบๆ เช่น มีดทำครัว หรือกรรไกรขึ้นสนิม หรือใช้เครื่องมือที่มองไม่เห็น เพื่อทำการผ่าตัดโดยไม่สัมผัสกับคนไข้เลย การผ่าตัดนี้แทบไม่มีเลือดออกเลยแม้ร่างกายจะถูกเปิดออก บาดแผลก็ปิดลงได้โดยไม่มีแผลเป็น และไม่มีการติดเชื้อด้วย

ร่างทรงที่ทำศัลยกรรม จะเป็นสื่อ หรือช่องทางการสื่อสารระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ โดยอ้างว่า ตนเป็นสื่อหรือร่างทรงของแพทย์หรือศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ตายไปแล้ว ซึ่งมัคคุเทศน์วิญญาณนี้แหละเป็นผู้ลงมือผ่าตัด/รักษาโดยผ่านศัลยแพทย์ทางจิตที่คอยกำกับการทำงานหรือให้การวินิจฉัยโรค

ศัลยกรรมด้วยร่างทรงบางคนรู้ว่าตนเป็นช่องทางของพลังที่มีอำนาจในการเยียวยารักษาโรคที่อยู่ภายนอกตัวเอง ในระหว่างการทำงานพวกเขาจะไม่รู้สึกตัว แต่ก็เชื่อว่าตัวเองมีภูติมาประทับทรง มาช่วยและคอยกำกับการรักษา บางคนอ้างว่าปรากฏการณ์การผ่าตัดนั้นมีทำกับร่างกายภายนอกหรืออีเธริค บอดี้(Etheric Body) รวมทั้งร่างกายที่เป็นสรีระด้วย ได้มีการบรรยายในหนังสือของ อัลแบร์โต้ วิลโวลโด(Alberto Villoldo) กับสแตนลีย์ คริปป์เนอร์(Stanley Krippner) ว่า วิญญาณของ ดร.อดอล์ฟ ฟริตซ์(Adloph Fritz) แพทย์ชาวเยอรมันที่ถูกฆ่าตายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มาเข้าทรงในร่างของลูกชายช่างยนต์ชาวบราซิล ชื่อเซ อาริโก(Ze Arigo) โดยมีรายงานว่า อาริโกลงมือผ่าตัดเป็นผลสำเร็จหลายพันครั้ง โดยใช้มีดที่ขึ้นสนิม แม้ว่าเขาจะแทบอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็ตาม

ต่อมาหลังจากที่อาริโกตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว วิญญาณของ ดร.ฟริตซ์ ก็ได้มาเข้าทรงในร่างของแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ ชื่อ ดร.ควีรอซ(Quieroz) ซึ่งอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในประเทศบราซิล และเขาก็ได้เริ่มทำศัลยกรรมทางจิตนอกเหนือไปจากวิธีการผ่าตัดแบบธรรมดาๆ ด้วย

พนักงานดับเพลิงจากเมืองลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษ ชื่อ จอร์จ แชปแมน(Chapman) ได้บรรยายไว้ในหนังสือเรื่อง Powers of Healing หรืออำนาจในการเยียวยาให้หายป่วย ที่จัดทำขึ้นโดย บริษัท ไทม์-ไลฟ์(Time-Life) ซึ่งเป็นบริษัทสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งว่า ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 เขาหันมาทำงานรักษาคนหลังจากที่วิญญาณของ ดร.วิลเลียม แลงก์(William Lang) มาเข้าร่างเขา ดร.แลงก์ เป็นจักษุแพทย์และศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอังกฤษ และได้ตายไปก่อนหน้านั้นแล้วหลายปี แชปแมนใช้เครื่องมือที่มองไม่เห็นและอาศัย ดร.แลงก์เป็นผู้กำกับในการผ่าตัดดวงตาทางจิต โดยใช้เทคนิคที่เขาเรียกว่า “ศัลยกรรมอีเธอริค”(Etheric surgery) ซึ่งเขาจะไม่แตะต้องตัวคนไข้เลย งานของเขามีบรรยายไว้ในหนังสือเรื่อง Healing Hands หรือมือที่รักษาอาการป่วยให้หาย ของ เจ.เบอร์นาร์ด ฮัตตัน และแชปแมนก็ยังได้เขียนหนังสือไว้อีกเล่มหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า ศัลยแพทย์จากโลกอื่น หรือ Surgeon from Another World

โจฮันนา ไมเคลเซน(Johanna Michaelsen) เป็นหญิงสาวที่ได้บรรยายถึงประสบการณ์ของตัวเองในฐานะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของศัลยแพทย์ทางจิตที่ชื่อ แพนชิต้า(Panchita) ในเม็กซิโก ไว้ในหนังสือเรื่อง The Beautiful Side of Evil หรือด้านที่งดงามของปีศาจ ซึ่งในช่วงระยะเวลา 14 เดือน เธอได้มีส่วนร่วมในการผ่าตัดกว่า 200 ครั้ง ได้เห็นการเยียวยารักษาโรคอย่างปาฏิหาริย์ ได้เห็นการกำจัดเนื้องอกในสมอง การจับกระดูกสันหลังให้เข้าที่ การผ่าตัดเปลี่ยนปอด และกำจัดหินออกจากคอของนักร้องที่เสียงแห้งหายไป

เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าที่เกาะต่างๆ ของประเทศฟิลิปปินส์เป็นที่พำนักของผู้เยียวยาทางจิตวิญญาณที่มีความสามารถในการทำศัลยกรรมด้วยร่างทรงมากมาย และได้มีการจัดทำบันทึกตามหลักวิชาการของ ทอม วาเลนไทน์ ไว้ในหนังสือเรื่อง Psychic Surgery หรือศัลยกรรมด้วยพลังจิต ที่ได้รายงานถึงการทำงานของอันโทนิโอ ซี แอ็กบาว(Antonio C. Agpaoa) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “โทนี่” กับศัลยแพทย์ทางจิตคนอื่นๆ ของฟิลิปปินส์

วาเลนไทน์ได้บรรยายถึงกรณีของ “จอย” สตรีที่เฉลียวฉลาด มีฐานะร่ำรวย ได้รับการวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ในมหาวิทยาลัยใหญ่ในย่านมิดเวสเทิร์น ของสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นมะเร็งที่ตาข้างขวาตรงบริเวณจอตา และเพื่อทำการตรวจให้แน่ใจอีกทีหนึ่งเธอก็ได้ไปหาผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่งในนิวยอร์ค โดยที่แพทย์คนนี้ก็ยืนยันตรงกันกับแพทย์คนแรกและแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดควักเอาข้างนั้นออกไป

จอยได้ข่าวว่ามีสตรีคนหนึ่งไปทำศัลยกรรมผ่านร่างทรงที่ฟิลิปปินส์ เพื่อให้หายจากอัมพาตที่เป็นเพราะสมองขาดโลหิต หลังจากไปพบสตรีคนนั้น และได้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับศัลยกรรมด้วยร่างทรงแล้ว จอยก็ได้ไปฟิลิปปินส์เพื่อรับการรักษาด้วยการผ่าตัดทางจิตที่นัยน์ตา เมื่อกลับมาตรวจที่สหรัฐฯ อีกครั้ง หมอได้บอกว่าเนื้องอกของเธอนั้นยุบลงไป ซึ่งหมอบอกว่าตลอดระยะเวลาที่เป็นหมอมานานเขาได้เห็นสิ่งนี้มาก่อนเพียง 4 ครั้งเท่านั้น

เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับศัลยกรรมด้วยร่างทรง มีรายงานอยู่หลายฉบับที่จัดทำตามหลักวิชาการเกี่ยวกับศัลยกรรมด้วยร่างทรงที่ประสบความสำเร็จ และในขณะเดียวกันก็มีรายงานที่จัดทำตามหลักวิชาการในจำนวนพอๆ กัน ที่ชี้ว่าเรื่องนี้เป็นการหลอกลวง บางคนก็บอกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย แต่บางคนกลับบอกว่าเขาหายจากโรคได้ราวกับปาฏิหาริย์ แต่มีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างแจ่มชัดจากสมาคมแพทย์อเมริกันว่า มันเป็นการตลบตะแลงหลอกลวงทั้งสิ้น

หนังสือที่เกี่ยวกับศัลยกรรมด้วยร่างทรง มีจำหน่ายตามร้านหนังสือหลายแห่ง รวมทั้งมีให้อ่านได้ตามห้องสมุดต่างๆ โดยมีรายชื่อหนังสือดังนี้
Another World ของ George Chapman
Psychic Surgery ของ Tom Valentine
The Realms of Healing และ Healing States ของ Alberto Villoldo และ Stanley Krippner
Healing Hands ของ J.Bernard Hutton
Powers of Healing และ The Beautiful Side of Evil ของ Johanna Michaelsen

มีทัศนะที่น่าสนใจอีกแง่มุมหนึ่งในเรื่องการเข้าทรงนี้ ซึ่งเป็นทัศนะของนักจิตวิทยา ชื่อ คาร์ล จุง(Carl Jung) ซึ่งเขาได้บอกในทำนองเดียวกับนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน ว่า การนึกคิดว่าตัวเองเป็นคนอีกคนหนึ่งอยู่ภายใต้จิตสำนึก คือ คิดฝันว่าตัวเองเป็นคนอื่น ซึ่งอาจจะมีตัวตนจริงหรือไม่มีก็ได้ เป็นเรื่องธรรมดามาก ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปมักจะมีความคิดอยู่ในจิตใต้สำนึกโดยที่ไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นคนอีกคนหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตที่มีสำนึก(consciousness)ไม่ป่วยไข้จนกำหราบจิตใต้สำนึกไว้ไม่อยู่มันก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาแล้วระบบประสาทเกิดผันผวน จิตใต้สำนึกนี้จะถูกปล่อยออกมาโดยจิตสำนึกไม่เข้าควบคุม หรือไม่มีปัญญาจะควบคุม

การเข้าทรงก็เช่นเดียวกัน คนที่คิดว่าตัวเองมีเทพหรือผีมาเข้าทรงนั้น เป็นวิธีการให้เหตุผลกับตัวเองอย่างหนึ่ง เวลาที่จะยอมให้ “อีกคนหนึ่ง”ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาโผล่ออกมาแสดงตัวตนหรือความสามารถ ทั้งนี้ไม่รวมถึงพวกที่หลอกต้ม คนที่หลอกต้มนั้นไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรมาทรง แต่จะหลอกเอาสตางค์หรือไม่ก็หวังจะได้ความเคารพยกย่องเพื่อลาภสักการะในภายหลังเท่านั้น

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า