สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การรักษาโรคด้วยแม่เหล็ก(Magnetic Therapy)

หรือเรียกอีกอย่างว่า ชีวแม่เหล็กบำบัด(Bio magnatic Therapy) เป็นวิธีการรักษาโรคที่ปลอดภัยและไม่ทำให้ร่างกายบอบช้ำ ด้วยการนำเอาแม่เหล็กที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ หรือสนามแม่เหล็กมาประยุกต์ใช้กับร่างกายมนุษย์

เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่มนุษย์เรารู้ถึงอำนาจในการรักษาเยียวยาของแม่เหล็ก ในสมัยศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล แอริสโทเทิ้ล(Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีกคนแรกที่ได้จดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรถึงคุณสมบัติในการรักษาโรคของแม่เหล็กธรรมชาติ วัฒนธรรมยุคโบราณอื่นๆ ส่วนจีน อาหรับ อียิปต์ อินเดียและฮีบรู ต่างก็มีความรู้เรื่องแม่เหล็กและได้เคยนำมันมาใช้เพื่อประโยชน์ในการเยียวยารักษาโรคด้วยเช่นกัน

ประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล กาเลน ซึ่งเป็นแพทย์และนักเขียนชาวกรีก ก็ได้พบว่า การใช้แม่เหล็กธรรมชาติมาอังหรือนาบที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายที่มีความเจ็บปวดซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้ หินแร่เหล็กที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กนี้จะถูกนำมาประดับร่างกายในรูปแบบของเครื่องรางของขลัง กำไล หรือเครื่องใช้อื่นๆ

ตั้งแต่ในสมัยศตวรรษแรกก่อนคริสตกาล แพทย์ชาวจีนก็ได้บันทึกถึงผลกระทบของสนามแม่เหล็กโลกที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บไว้

ประมาณปี ค.ศ.1000 มีแพทย์ชาวเปอร์เซียคนหนึ่ง ก็ได้บันทึกหลักฐานเกี่ยวกับการใช้แม่เหล็กเพื่อระงับการกระตุกของกล้ามเนื้อเอาไว้ รวมทั้งการใช้แม่เหล็กเพื่อรักษาโรคเก๊าท์ ซึ่งอาการสำคัญของโรคเก๊าท์นี้จะมีการอักเสบที่ข้อต่างๆ จึงทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้น แพทย์ในยุโรปยุคกลางก็ได้ใช้แร่เหล็กที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กที่บดผงมาทำเป็นยารักษาภายนอกสำหรับใช้ประคบในบริเวณที่ปวดนี้

ในทศวรรษที่ 1700 อันตอน เมสเมอร์(Franz Anton Mesmer) แพทย์ชาวออสเตรีย ก็ได้เขียนรายงานทางวิชาการเกี่ยวกับแม่เหล็กเอาไว้ งานของเมสเมอร์ได้เป็นรากฐานสำหรับการเยียวยารักษาโรคโดยใช้แม่เหล็กในซีกโลกตะวันตก แม้ว่าสมัยนั้นเขาจะถูกเยาะเย้ยถากถางอย่างรุนแรง ในปี ค.ศ.1843 ไอ.อีแดน(I.Eydan)ก็ได้เคยศึกษาเรื่องการใช้สนามแม่เหล็กกับร่างกายมนุษย์เพื่อรักษาโรค และในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แพทย์ของกองทัพบกรัสเซียก็ได้เคยใช้แม่เหล็กในการลดความเจ็บปวดหลังจากการผ่าตัดขาหรือแขนของผู้ป่วยทิ้งไป

การรักษาเยียวยาโดยใช้แม่เหล็กในประเทศญี่ปุ่นได้มีการดำเนินงานกันอย่างกว้างขวางในปี ค.ศ.1958 และในปี ค.ศ.1959 นายแพทย์เคียวอิชิ นาคากาวะ เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยแม่เหล็กที่มีผลต่อร่างกายมนุษย์ ในระดับแนวหน้าคนหนึ่งของโลก ได้กล่าวรายงานถึงสภาพความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือโรคต่างๆ กลุ่มหนึ่งที่มีการตอบสนองอย่างดีเมื่อใช้วิธีการรักษาด้วยแม่เหล็ก และจะรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล

สถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเซ็ตส์หรือเอ็มไอทีในสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาและพิสูจน์ให้เห็นชัดแจ้งเมื่อไม่นานมานี้ว่า ผลิตภัณฑ์ประเภทแม่เหล็ก-ชีวะ(bio-magnatic)ที่ใช้กับร่างกายจะเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตซึ่งจะเกื้อหนุนกระบวนการรักษาโรคได้

ทุกวันนี้แม่เหล็กที่นำมาใช้เพื่อการรักษาโรคก็มีลักษณะแตกต่างกันไปจากแท่งแม่เหล็กมาตรฐาน หรือแท่งแม่เหล็กรูปเกือกม้าที่ทำจากเหล็กมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแม่เหล็กที่ผลิตในญี่ปุ่นและในทวีปยุโรป และได้มีการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง

แม่เหล็กชีวะสไตล์พื้นฐานนั้นมีอยู่สองแบบ คือแบบเหล็กหล่อ เฟอร์ไรท์(ferrite)ที่แข็งและมีขนาดเล็ก กับแบบที่มีลักษณะแบนและมีความยืดหยุ่นเหมือนกับยาง แต่แม่เหล็กชีวะสมัยใหม่นั้นทำจากวัสดุชนิดต่างๆ และมีประจุแม่เหล็กที่ถาวร

แม่เหล็กเฟอร์ไรท์ จะถูกนำมารวมอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ที่นอน ที่รองศีรษะแบบที่คล้ายกับหมอน ที่สำหรับพันประคองตรงข้อต่อต่างๆ ทำเป็นเสื้อ หรือเครื่องประดับ เช่น สร้อย กำไล เป็นต้น

แม่เหล็กชนิดเป็นผ้าบุยืดหยุ่นได้ สำหรับนำเอามาแนบกับบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บหรือบริเวณที่ปวดบนร่างกายได้โดยตรง มีจำหน่ายในขนาดและในรูปทรงต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังสามารถนำมาหล่อทำเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ทำเป็นพื้นด้านในของรองเท้า

ปัจจุบันการใช้ประโยชน์จากการรักษาด้วยแม่เหล็กมีอยู่มากมาย เช่น การใช้ฟูกนอนแม่เหล็ก หรือหมอนแม่เหล็ก ใช้รองเท้าที่บุพื้นรองเท้าด้วยแม่เหล็กเพื่อกระตุ้นจุดต่างๆ ที่ฝ่าเท้าขณะที่เดิน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ด้านแม่เหล็กชีวะอื่นๆ ที่มีจำหน่ายอยู่อีกมากมาย

ตัวแม่เหล็กจะกระตุ้นสมรรถนะในการเยียวยารักษาตัวเองให้เกิดขึ้นภายในร่างกายแต่ไม่ได้ช่วยรักษาเองโดยตรง โดยจะสร้างสนามแม่เหล็กและส่งผลไปกระทบแก่เซลล์ที่มีชีวิตด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ซึ่งเซลล์จะสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาพที่ดีที่สุด และทำงานในระดับที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมักจะถูกขัดขวางด้วยโรคและความบาดเจ็บหลายประเภท ในขณะที่การเยียวยารักษาจำเป็นต้องอาศัยโลหิตที่อุดมไปด้วยอาหารและออกซิเจนมากๆ และการใช้แม่เหล็กกับร่างกายมนุษย์ก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ จากการที่คลื่นแม่เหล็กจะเดินทางผ่านเนื้อเยื่อเข้าไปทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ฮอล เอฟเฟ็คต์(Hall Effect)ขึ้น

ภายในกระแสโลหิตจะมีอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า หรือไอออน(Ion)ที่เป็นประจุบวกและประจุลบ เมื่อนำแม่เหล็กไปตั้งไว้ที่กำลังรักษาหรือบริเวณใกล้เคียงก็จะถูกดึงเข้าหาขั้วบวกและขั้วลบเมื่อใช้แม่เหล็กในการรักษานั้นๆ การวิ่งเข้าหาขั้วแม่เหล็กนี้จะก่อให้เกิดกระแสและแบบแผนของไอออน ส่งผลให้เส้นโลหิตขยายตัว เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่บริเวณที่บาดเจ็บและเป็นแผล

การใช้สนามแม่เหล็ก จะมีประสิทธิภาพในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้มากกว่าการใช้กระแสไฟฟ้า เพราะความยาวคลื่นจากแม่เหล็กจะกระจายแทรกซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายกว่า และไหลเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านไขมัน ประสาท และกระดูกเข้าไปได้ แต่การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจะซึมแทรกเข้าไปเพียงราว 10 มิลลิเมตรเท่านั้น

ได้พบว่าการรักษาด้วยสนามแม่เหล็กจะช่วยฟื้นสภาพของโรคทั้งชนิดที่เรื้อรังและรุนแรงเฉียบพลัน แพทย์ในสหภาพโซเวียตได้ใช้แม่เหล็กเพื่อเร่งให้แผลผ่าตัดหายเร็วๆ เพื่อปรับปรุงการหมุนเวียโลหิต และเพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างกระดูก

อาการเคล็ดขัดยอก กระดูกแตก เนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่มได้รับอันตรายฉีกขากและถูกไฟลวก ล้วนเป็นสภาพความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเฉียบพลัน ซึ่งมีผลลัพธ์แสดงให้เห็นแล้วว่า คุณภาพของการหายจากแผลจะดีขึ้น และหายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อใช้วิธีการรักษาด้วยแม่เหล็ก

โรคข้อเสื่อม ไขข้อบางชนิด แผลเปื่อยของคนเป็นเบาหวาน ซึ่งเป็นสภาพความเจ็บป่วยชนิดเรื้อรัง เมื่อรักษาด้วยแม่เหล็กก็ทำอาการดีขึ้นและหายได้

ได้มีการอนุมัติให้ใช้ผลิตภัณฑ์แม่เหล็กชีวะเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้แล้วในประเทศญี่ปุ่น โดยกระทรวงสวัสดิการ (Minister of Welfare) ซึ่งเทียบเท่ากับองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ

มีการใช้แม่เหล็กร่วมกับการใช้เข็มปักลงที่จุดฝังเข็มต่างๆ ในการฝังเข็มของญี่ปุ่น ซึ่งแม่เหล็กนี้จะนำเอามาประกอบที่หัวเข็มขนาดเล็กที่ใช้สำหรับฝังเข็ม โดยจะปักเข็มพิเศษพวกนี้เอาไว้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง

มีกฎหมายห้ามผู้ที่ประกอบวิชาชีพด้านรักษาพยาบาลที่มีใบอนุญาต มิให้ใช้แม่เหล็กเพื่อวัตถุประสงค์ในการเยียวยารักษาโรคในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แต่ในรัฐนี้ก็ยังมีแม่เหล็กสำหรับใช้ในการรักษาตัวเองจำหน่ายอยู่

กว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ จะให้การอนุมัติเพื่อจำหน่ายอุปกรณ์การรักษาด้วยแม่เหล็กก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ในขณะนี้ก็มีอุปกรณ์แม่เหล็กมากมายที่ได้รับการทดสอบและยอมรับในประเทศญี่ปุ่นและในส่วนอื่นของโลกจำหน่ายอยู่ในสหรัฐฯ เช่นกันเพื่อให้คนทั่วไปซื้อหามาใช้กันเอง บริษัทญี่ปุ่นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวะแม่เหล็กสำหรับใช้ด้วยตัวเองในสหรัฐฯ คือ บริษัท นิคเคน(Nikken)

หนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ของดร. บิวริล เพย์น(Buryl Payne) ที่ให้ข้อมูลดีเยี่ยม มีชื่อเรื่องว่าThe Body Magnatic และเรื่อง Getting Started in Magnetic Healing ซึ่งดร.เพย์นเป็นนักฟิสิกส์และนักจิตวิทยา อีกทั้งยังเป็นผู้ประดิษฐ์สร้างอุปกรณ์ไบโอฟีดแบ็ครุ่นแรกด้วย

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า