สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การใช้ปัสสาวะเพื่อเยียวยารักษาโรค

ปัสสาวะบำบัด(Urine Therapy)
เป็นระบบการเยียวยารักษาโรคแบบที่ไม่ต้องใช้ยา ไม่ได้เป็นการบำบัดรักษาอาการป่วยอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะเป็นการส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

ปัสสาวะบำบัด ได้เคยมีประวัติมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ โดยที่ชาวกรีกบางคนใช้ปัสสาวะเพื่อบำบัดรักษาโรคบางอย่างโดยเฉพาะ ในสมัยปี ค.ศ.1695 มีหนังสือตำราแพทย์ตีพิมพ์ออกมาเล่มหนึ่ง มีชื่อเรื่องว่า Salmon’s English Physician หรือแพทย์อังกฤษของแซลมอน ได้ระบุถึงการรักษาแผลและอาการป่วยอย่างอื่นอีกมากมายด้วยการใช้ปัสสาวะ ซึ่งชาวยิปซีในยุโรปได้ทราบถึงคุณสมบัติปัสสาวะที่ใช้ในการรักษาโรคมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว โดยที่พวกเขาจะรักษาโรคไบรท์(Bright’s Disease)หรือโรคไตทั้งชนิดรุนแรงฉับพลันและเรื้อรังที่ทำให้มีสารอัลบูมินหรือไข่ขาวขึ้นในปัสสาวะ โดยการใช้ปัสสาวะของวัวในการรักษา มีผู้กล่าวกันว่าพวกโยคีและพระลามะในธิเบตมีการดื่มปัสสาวะของตัวเองจึงทำให้พวกเขาต่างก็มีอายุที่ยืนยาว

มีหนังสือชื่อเรื่องว่า One Thousand Notable Things หรือสิ่งที่เด่นหนึ่งพันสิ่ง ซึ่งมีอยู่ในตอนต้นทศวรรษที่ 1800 ได้บรรยายถึงการใช้ปัสสาวะเพื่อรักษาโรคลักปิดลักเปิด บรรเทาอาการคันที่ผิวหนัง ล้างแผล และเพื่อบำบัดรักษาอื่นๆ อีกมากมาย และในสมัยศตวรรษที่ 18 มีทันตแพทย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ได้ยกย่องปัสสาวะว่าเป็นน้ำยาบ้วนปากที่มีคุณค่า และในสมัยทศวรรษที่ 1860-1870 ในประเทศอังกฤษก็ได้มีการดื่มปัสสาวะตัวเองเพื่อรักษาอาการดีซ่าน ส่วนชาวเอสกิโมในอลาสก้าก็ใช้ปัสสาวะเพื่อเป็นยาป้องกันการติดเชื้อและรักษาบาดแผล

จอห์น ดับบลิว. อาร์มสตรอง เป็นชาวอังกฤษผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Water of Life: A Treatise on Urine Therapy หรือน้ำแห่งชีวิต: ตำราเรื่องปัสสาวะบำบัด ได้เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในการใช้ปัสสาวะบำบัด อาร์มสตรองได้ป่วยเป็นวัณโรคในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จนทำให้เขาไม่อาจเข้ารับราชการทหารได้ เมื่อเขาไปพบแพทย์ก็ได้รับการวินิจฉัยว่า เขาไม่ได้เป็นวัณโรค แต่ป่วยด้วยโรคคาทารห์ หรือเยื่อบุทางเดินอากาศอักเสบ หลังจากได้รับการรักษาจากแพทย์โดยการให้อาหารบำรุงร่างกายพร้อมกับการอยู่ในที่มีอากาศสดชื่นและมีแสงแดด ในปีถัดมา อาร์มสตรองก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบ 30 ปอนด์

แต่เขาก็ยังไม่พอใจกับสภาพร่างกายของตัวเอง และได้ไปปรึกษาแพทย์อีกคนหนึ่ง แพทย์คนนี้ได้วินิจฉัยโรคกลับไปอย่างเก่า คือบอกว่าเขาเป็นวัณโรคที่ปอดทั้งสองข้าง และจากการที่แพทย์ได้แนะนำให้เขารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาลก็ทำให้เขาป่วยเป็นเบาหวานขึ้นมาอีกโรคหนึ่ง ซึ่งทำให้มีการรักษาอย่างเคร่งครัดเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าโรคก่อนเสียอีก

แพทย์ได้แนะนำให้อาร์มสตรองรับประทานอาหารเบาๆ สัปดาห์ละ 3 วัน อีก 4 วันก็ให้ทานแต่น้ำ ร่างกายของอาร์มสตรองก็ดีขึ้นหลังจากที่รับประทานอาหารรักษาเบาหวานอย่างนี้ได้ 16 สัปดาห์ อาการไอและการอักเสบที่คอก็หายไป แต่อาหารแบบที่รับประทานอยู่กลับทำให้เกิดผลข้างเคียงทางกายและอารมณ์หลายอย่าง ซึ่งเขาเห็นว่าเลวร้ายกว่าโรคที่เป็นเสียอีก เขาจึงหมดศรัทธาที่รักษากับพวกหมอและได้ตั้งต้นหาทางรักษาด้วยตัวของเขาเอง

ในขณะที่เขารู้สึกอ่อนแอและไม่สบายอยู่นั้น อาร์มสตรองได้นึกถึงคำพังเพยที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลข้อความหนึ่งที่ว่า “จงดื่มน้ำจากถังบรรจุของเจ้าเอง” ทำให้เขานึกไปถึงกรณีของเด็กหญิงที่หายจากโรคคอตีบด้วยการดื่มปัสสาวะตัวเอง และอีกหลายรายที่ดื่มปัสสาวะตัวเองแล้วหายจากโรคดีซ่าน

อาร์มสตรองได้ตัดสินใจปฏิบัติตามความเชื่อของตนเองเพราะคิดว่าเขาตีความในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ถูกต้องแล้ว เขาจึงเริ่มอดอาหารและดื่มปัสสาวะตัวเองเป็นเวลา 45 วัน และเขายังรับประทานอาหารอย่างระมัดระวังและดื่มปัสสาวะของตัวเองต่อไปแม้จะเลิกอดอาหารแล้วก็ตาม ผลการรักษาที่ปรากฏคือ อาร์มสตรองมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีพลังงานมากขึ้น และผิวพรรณก็ดูเต่งตึงมีน้ำมีนวลขึ้น

อาร์มสตรองเชื่อว่าเขาควรจะถ่ายทอดความรู้นี้ให้แก่คนอื่นๆ ด้วย ในปี ค.ศ. 1918 เขาจึงได้เริ่มแนะนำคนอื่นๆ และรับควบคุมดูแลการอดอาหารให้กับผู้ที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ หลายโรค แม้แต่ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง โรคไบรท์ โรคที่มีอาการเนื้อตาย และอื่นๆ ก็ได้เข้ามารับการรักษาด้วยวิธีปัสสาวะบำบัดตามแบบของเขา

อาร์มสตรองมีความเห็นตรงกันข้ามกับแพทย์ ซึ่งยืนยันว่า ปัสสาวะประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว และร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ นั่นก็คือเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ว่า ปัสสาวะประกอบไปด้วย “เนื้อ โลหิตและเนื้อเยื่อที่จำเป็น ที่ละลายอยู่ในสารละลายที่มีชีวิต”

อาร์มสตรองได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ มากมาย ทั้งเนื้อตาย มะเร็งนานาชนิด เบาหวาน วัณโรค โรคที่เกี่ยวกับลิ้นหัวใจ โรคไบรท์ ปัญหาที่กระเพาะปัสสาวะ มาเลเรีย ไข้ แผล แผลไฟลวก โรคเกี่ยวกับหลอดลม และโรคอื่นๆ อีกมากมายไว้ในหนังสือเรื่อง The Water of Life: A Treatise on Urine Therapy ของเขา ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการอดอาหารและดื่มน้ำปัสสาวะ การดื่มปัสสาวะจะช่วยเสริมสร้างและปรับสภาพอวัยวะที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งลำไส้ในระหว่างที่มีการอดอาหาร ไม่มีความจำเป็นต้องมีการวินิจฉัยโรคไม่ว่าจะป่วยเป็นอะไร เพราะปัสสาวะบำบัดใช้รักษาทุกโรคด้วยวิธีการอย่างเดียวกันหมดคือ ให้อดอาหารแล้วดื่มปัสสาวะ

ปัสสาวะยังถูกนำมาใช้ชโลมผิวด้วยนอกเหนือจากการดื่มแล้ว โดยใช้เช็ดผิวกายทั้งหมดวันละหลายครั้ง บริเวณที่เน้นคือ ใบหน้า คอและเท้า แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นอีกครั้งหนึ่ง การรักษาโรคยังมีการใช้ผ้าชุบปัสสาวะมาประคบไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย ทั้งการเช็ดและการประคบนี้จะทำให้ผิวหนังดูดซึมเอาปัสสาวะเข้าไปในร่างกายได้ด้วย

ความเชื่อของอาร์มสตรองมีอยู่ว่า อาหารที่สมดุล ถูกอนามัย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาสุขภาพและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ เขาไม่แนะนำให้กินอาหารมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัดเนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์ชนิดที่กินทั้งพืชและเนื้อ เขาจะรู้สึกว่ามันไม่สอดคล้องลงรอยกันหากต้องทำเช่นนั้น นอกเสียจากคนที่ถูกเลี้ยงมาด้วยอาหารมังสะวิรัติตั้งแต่เกิด

อาหารที่อาร์มสตรองแนะนำให้รับประทานจะประกอบไปด้วย เนื้อปลา สัตว์ปีก ไข่ ผักนึ่ง ผักสด ผลไม้ตามฤดูกาล ข้าวกล้องและขนมปังข้าวสาลีชนิดโฮลวีท อาจใช้เนยและน้ำผึ้งสำหรับให้ความหวานได้พอประมาณ หลีกเลี่ยงอาหารทุกชนิดที่แปรรูปและมีการปรุงแต่งมาก เช่น น้ำตาลทรายขาวและขนมปังแป้งขาว

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อ่านได้จากหนังสือของจอห์น ดับบลิว อาร์มสตรอง เรื่อง The Water of Life: A Treatise on Urine Therapy

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า