สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

พลังการรักษาโรคของพีระมิด(Pyramid Power)

เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน พีรามิด คือ สุสานของกษัตริย์อียิปต์ครั้งโบราณ มีรูปทรงพิเศษ ที่ดูเหมือนเอาสามเหลี่ยมสามอันมาวางลงกับพื้นโดยเอายอดสามเหลี่ยมมาประกบกัน พีระมิดก็เหมือนกับเจดีย์ที่ใช้เก็บกระดูกในคติพุทธ แต่พีระมิดใช้เพื่อเก็บศพและของใช้รวมถึงสมบัติพัสถานหลายอย่าง เนื่องจากความเชื่อของคนโบราณที่ว่าจะได้มีของเก็บไว้ใช้ในภพหน้าพีระมิด

พีระมิดขนาดใหญ่ที่สุดนั้นครอบคลุมพื้นที่ถึง 13 เอเคอร์หรือประมาณ 33 ไร่ สูง 481 ฟุต

พลังของพีระมิด ได้ถูกค้นพบจากนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส ชื่ออองตวน โบวีส์(Antoine Bovis) จากที่เขาได้สังเกตซากแมวในพีระมิดใหญ่ที่กีซ่า ซึ่งเขาประหลาดใจว่า ซากแมวในพีระมิดนั้นทำไมไม่เน่า เพียงแต่แห้งลงเท่านั้น และเขาก็ได้ทดลองสร้างพีระมิดจำลองขึ้นมาตามสัดส่วนจากของจริงแต่มีขนาดเล็กกว่า โดยด้านต่างๆ ก็หันไปทางทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกเหมือนกัน แล้วเขาก็ลองเอาแมวที่ตายไปใส่ไว้ ปรากฏว่าแมวก็แห้งไปจริงๆ เช่นเดียวกับผักและผลไม้ที่ไม่เน่าเพียงแต่จะแห้งไปแค่นั้นเหมือนกัน

มีนักวิทยาศาสตร์บางคนในสหรัฐฯ ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ และนำไปทดลองต่อไปอีก มีรายงานผลการทดลองในสมัยทศวรรษที่ 1970 ของบิลล์ ชุล(Bill Schul) กับเอ็ดเพ็ททิต(Ed Pettit) ว่า ต้นทานตะวันที่นำไปใส่ไว้ในพีระมิดจะโตเร็วขึ้น แต่โตไม่เท่ากัน โดยต้นที่อยู่ข้างใต้ยอดพีระมิดพอดีจะเป็นต้นที่โตเร็วที่สุด ส่วนต้นที่อยู่ตรงพื้นด้านข้างจะโตช้าที่สุด และเมล็ดพืชที่เก็บไว้ในพีระมิดก็งอกเร็วด้วยเช่นกัน

และได้มีการทดลองเอานมไปใส่ไว้ในพีระมิดอีกหลายครั้ง และให้มีอีกตัวอย่างหนึ่งวางอยู่นอกพีระมิด ผลปรากฏว่านมที่อยู่ในพีระมิดจะกลายเป็นสารข้นๆ เป็นครีมคล้ายๆ กับโยเกิร์ต และอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์โดยไม่ขึ้นรา ส่วนนมที่วางไว้ด้านนอกพีระมิดจะบูดเปรี้ยวขึ้นราภายในไม่กี่วัน และได้มีการทดลองนำเอาตับวัว ไข่ องุ่น มะเขือเทศ สเต็ก และปลา ไปวางในพีระมิดด้วย และอีกส่วนหนึ่งก็วางไว้นอกพีระมิด ผลที่ได้คือส่วนที่อยู่ในพีระมิดเพียงแต่เหี่ยวแห้ง หดตัวลง และไม่ขึ้นรา ส่วนที่อยู่ด้านนอกพีระมิดก็บูดเน่าจนหมด จากการทดลองก็ปรากฏได้ว่า ไม่ว่าจะสร้างพีระมิดด้วยกระจก ไม้ กระดาษแข็ง หรือพลาสติค หรือวัสดุอะไรก็ตาม ก็จะได้ผลอย่างเดียวกันหมด

นอกจากชุลกับเพ็ตทิตสองคนนี้แล้ว ยังมีผู้ซึ่งได้ดำเนินการทดสอบที่คล้ายคลึงกันด้วยคือ บอริส เวิร์น(Boris Vern) ผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยพีระมิดในวอชิงตันดีซี กับนักวิจัยอีกสองคน ชื่อ บิลล์ เคอร์เรลล์(Bill Kerrell) กับแคธี ก๊อกกิน(Kathy Goggin) และยังพบด้วยว่า เมื่อวัดการทำงานของสมองด้วยคลื่นไฟฟ้าปรากฏว่าคนที่เข้าไปอยู่ในพีระมิดจะมีการทำงานของสมองเปลี่ยนไปมาก แม้ว่าผู้เข้ารับการทดลองจะไม่รู้ว่าถูกพาเข้าไปในพีระมิดตั้งแต่เมื่อไรจากการที่เอาผ้าปิดตาแล้วจูงเดินไป ผู้รับการทดลองบางคนบอกว่า รู้สึกว่าอุ่นบ้าง หรือเหมือนมีอะไรมาสะกิดเบาๆ บ้างเมื่อเข้าไปอยู่ในพีระมิดแล้ว

นักวิทยาศาสตร์มีความคิดเห็นว่า การไหลเวียนของพลังงานซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเกิดพลังของพีระมิดขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์และยืนยันลงไปได้แน่นอน

การใช้พลังพีระมิดเพื่อรักษาอาการป่วยนั้น มีเพียงการทดลองนำคนเข้าไปอาศัยหรืออยู่ในพีระมิดจำลอง ผู้ที่หายจากโรคได้เร็วคือ ผู้ที่มีแผลมีดบาด ไฟลวก หรือฟกช้ำดำเขียว และผู้ที่อาการป่วยทุเลาลงเมื่ออยู่ในพีระมิด คือ ผู้ที่มีอาการปวดฟัน ปวดศีรษะ ปวดประจำเดือน ปวดข้อและอาการเครียด

ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่เชื่อถือในเรื่องนี้ และนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เชื่อในเรื่องอำนาจของพีระมิดเช่นกัน

มีผู้นำเอาพลังพีระมิดมาใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์อยู่รายหนึ่งในสมัยปลายทศวรรษที่ 1940 คือ คาเรล ดรแบล(Karel Drbal) เขาเป็นวิศวกรวิทยุโทรทัศน์ชาวเชโกสโลวะเกีย ได้ทดลองเอาโลหะไปใส่ไว้ในพีระมิด และได้พบว่า ความชื้นซึ่งเป็นตัวการทำให้โลหะเสื่อมหรือเป็นสนิมที่ขังอยู่ในโลหะจะแห้งหายไปได้อย่างรวดเร็ว และต่อมาเขาก็ได้ผลิตที่ใส่ใบมีดโกนออกขายเป็นที่เก็บทรงพีระมิด โดยที่มีดโกนของเขาจะคมอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ ดรแบลได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ความชื้นที่อยู่บริเวณใบมีดด้านคมของมีดโกนจะระเหยไปได้เร็วเมื่ออยู่ในเก็บทรงพีระมิด จึงทำให้คมมีดไม่ถูกกัดเซาะความคมให้หายไปเร็วนัก

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า