สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การฟื้นฟูพลังชีวิตจากธรรมชาติแบบเรกิ

เรกิ(Reiki)
ระบบการเยียวยาที่ทรงพลังแบบเรกิใช้ประโยชน์จากเทคนิคในการฟื้นฟูพลังชีวิตจากธรรมชาติและสร้างสมดุลของพลังงานในร่างกาย เป็นระบบการเยียวยาแบบองค์รวมตามแนวธรรมชาติ โดยการสัมผัสและส่งผ่านไปทางมือสู่ตัวบุคคลทั้งทางร่างกาย ความคิด จิตใจและจิตวิญญาณ

เรกิเป็นคำภาษาญี่ปุ่น หมายถึง พลังแห่งจิตวิญญาณ เป็นพลังงานที่อยู่รอบๆ ตัวเรา คำนี้ได้มาจากคำว่า เร ซึ่งแปลว่า จิตวิญญาณที่ล่วงพ้นจากภพนี้ไปแล้ว หรือ จักรวาล ส่วนคำว่า กิ นั้น หมายถึง พลังงานที่เป็นพลังชีวิตที่สำคัญยิ่ง

ความเป็นมาของเรกิซึ่งมีอยู่หลายสำนวน แม้ว่าจะมีเรื่องราวเล่าขานกันต่างๆ นานา แต่ก็มีความคิดกันว่า เรกิมีจุดเริ่มต้นในธิเบตเมื่อหลายพันปีมาแล้ว มีปราชญ์ในสมัยโบราณได้ศึกษาถึงพลังงานต่างๆ และได้พัฒนาระบบเสียง และสัญลักษณ์สำหรับพลังในการเยียวยารักษาโรคขึ้นมา ซึ่งได้ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ มากมาย ซึ่งล้วนมีรากฐานมาจากธิเบตเหมือนกัน แต่จุดกำเนิดแท้ๆ นั้นก็ได้ถูกลืมไป

นักการศึกษาทางด้านศาสนาคริสต์ชาวญี่ปุ่น ชื่อ ดร.มิคาโอะ อูซูอิ(Mikao Usui) ซึ่งประจำอยู่ที่โบสถ์คริสต์ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยในช่วงตอนกลางถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ค้นพบระบบที่เป็นรากเหง้าดั้งเดิมนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

คำท้าทายของบรรดาลูกศิษย์หลังจากที่ได้ฟังอูซูอิพูดถึงปาฏิหาริย์ในการรักษาโรค เขารับคำท้านั้นและได้ศึกษาถึงปรากฏการณ์การเยียวยารักษาโรคของบรรดาผู้นำทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อค้นหาวิธีการสร้างปาฏิหาริย์ที่คล้ายคลึงกัน การแสวงหาของเขากินเวลายาวนานถึง 21 ปี ในระหว่างนี้เขาก็ได้เดินทางมาสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาวิชาเทววิทยาที่มหาวิทยาลัยชิคาโกจนได้ปริญญาเอกแล้วจึงกลับไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อค้นคว้าเรื่องปาฏิหาริย์ในการรักษาโรคต่อ จึงเป็นเหตุทำให้อูซูอิได้ค้นพบเรกิครั้งใหม่ขึ้นอีก

อูซูอิได้ใช้เวลา 7 ปี ในการศึกษาพระสูตรโบราณซึ่งเป็นคำสอนในศาสนาพุทธที่เขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤติหลังจากที่เข้าไปในวัดเซนที่ใกล้กับเมืองโตเกียว เขาได้ค้นพบว่า เสียงและสัญลักษณ์โบราณมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับร่างกายมนุษย์และระบบประสาท ที่จะช่วยกระตุ้นพลังชีวิตให้มีผลในการเยียวยารักษาโรค

อูซูอิได้ผ่านประสบการณ์แบบเหนือโลกและเกิดมีอำนาจในการใช้เสียงและสัญลักษณ์ในการเยียวยารักษาโรค โดยเขาเรียกการรักษาแบบนี้ว่า เรกิ และได้นำออกเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น จนถึงราวปี ค.ศ.1893 เขาก็ได้ถึงแก่กรรมลง

ดร.ชูจิโร ไฮยาชิ(Chujiro Hyashi) ลูกศิษย์คนหนึ่งของอูซูอิได้เปิดคลินิกเรกิขึ้นในโตเกียว เขาเป็นบรมครูคนที่สองถัดจากอูซูอิ ในทศวรรษที่ 1930 มีสตรีชื่อฮาวาโย ทาคาตะ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันซึ่งป่วยหนักเดินทางมาเพื่อรับการรักษา หลังจากได้รับการรักษาแล้วเธอก็ได้เข้าฝึกเรกิและเดินทางกลับไปยังฮาวายบ้านเกิดของเธอ

ไฮยาชิได้ถึงแก่กรรมลงในปี ค.ศ.1941 และฮาวาโย ทาคาตะ ก็ได้กลายเป็นบรมครูคนที่ 3 และให้การรักษาโรคในแบบเรกิต่อไป จนถึงทศวรรษที่ 1970 เธอก็มิได้ให้อำนาจแก่ศิษย์คนไหน และในต้นทศวรรษที่ 1980 ก่อนเธอจะถึงแก่กรรมลง ทาคาตะก็ได้มอบขนบประเพณีนี้ให้แก่หลาน ชื่อ ฟิลิส เลอิ ฟูรุโมโต ซึ่งได้กลายมาเป็นบรมครูคนที่ 4 ต่อไป

ฟิลิส เลอิ ฟูรุโมโต ได้กลายมาเป็นประมุขขององค์การเรกิ อัลไลแอนซ์(Reiki Alliance) ที่ตั้งอยู่ในเมืองคาทัลโด รัฐไอดาโฮ สหรัฐอเมริกา ซึ่งองค์การนี้ทำหน้าที่ส่งเสริม ระบบการเยียวยารักษาโรคตามธรรมชาติ ตามแบบของอูซูอิ

เทคนิคเรเดียนซ์ เป็นเรกิอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับการส่งเสริมจากองค์การ The Radiance Technique Association International Inc. ในปีเตอร์สเบิร์ก รัฐฟลอริด้า องค์การนี้มีประมุขคือ ดร.บาร์บารา เรย์ ซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์คนหนึ่งของทาคาตะ

ในตอนกลางทศวรรษที่ 1970 เรกิได้ถูกนำมาสู่ซีกโลกตะวันตก แล้วเรกิก็ได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกนับตั้งแต่นั้นมา ซึ่งมีคนนับพันๆ ที่ใช้เรกิในการช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นในปัจจุบันนี้

ระบบการเยียวยารักษาโรคตามธรรมชาติแบบอูซูอิ จะส่งเสริมความสามารถในการเยียวยารักษาตนเอง โดยจะช่วยสร้างสมดุลและเสริมสร้างพลังงานของร่างกาย นอกจากจะใช้ในกรณีป่วยหนักแล้ว เรกิยังช่วยส่งเสริมกระบวนการรักษาโรคตามธรรมชาติในแขนงอื่นๆ อีกมากมาย สามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาจากการได้รับบาดเจ็บระหว่างเล่นกีฬา แผลไฟลวก มีโรคภายใน มีความผิดปกติทางอารมณ์ และโรคที่เกี่ยวกับความเครียดต่างๆ

เรกิยังช่วยส่งเสริมการรักษาในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น การนวด การรักษาแบบไคโรแพร็คทิค กายภาพบำบัด การฝังเข็ม กระบวนการสร้างการเกิดใหม่ โฮมีโอพาธี การทำสมาธิ จิตบำบัด และการเยียวยาบำบัดอื่นๆ ทั้งที่เกี่ยวกับสรีระและพลังงานของร่างกาย

การบำบัดแบบเรกิใช้วิธีการเอามือของผู้ให้การบำบัดวางลงที่ร่างกายของผู้รับการบำบัดเฉยๆ มิใช่เทคนิคการนวด การบำบัดต้องทำในสภาพแวดล้อมที่เงียบและสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ผู้รับการบำบัดยังคงสวมใส่เสื้อผ้าตลอดเวลาที่รับการเยียวยา การวางมือในแต่ละที่จะใช้เวลาประมาณ 5 นาที และกินเวลาในการรักษาครั้งหนึ่งๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยผู้ที่รับการรักษาจะรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ เบาๆ ไหลมาจากมือของผู้ให้การบำบัด

ครูเรกิจะใช้เสียงและสัญลักษณ์โบราณในการปรับระบบประสาทของผู้เรียน หรือผู้ที่จะเป็นผู้ให้การบำบัด ซึ่งเรกิเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะเรียนได้จากหนังสือ ผู้เรียนหรือผู้รับการบำบัดจะได้รับพลังงานในระดับสูง และต้องทำการปรับระบบประสาทหลายครั้งจนผู้เรียนรู้สึกได้ว่ามีพลังงานไหลออกจากมือของผู้ให้การบำบัด ซึ่งเป็นอำนาจในการเยียวยารักษาตัวเองและผู้อื่นๆ ได้ โดยอำนาจนี้ไม่ใช่จะบรรลุด้วยการฝึกหรือเพราะมีพรสวรรค์พิเศษแต่อย่างใด

การสอนเรกิ มีอยู่ 3 ระดับ
ระดับที่ 1 ผู้เรียนหรือผู้รับจะได้รับการปรับหรือริเริ่มให้เข้าถึงพลังงานเรกิโดยครูเรกิ เป็นการชักนำให้เข้าถึงอำนาจในการเยียวยารักษาโรคที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น จากนั้นก็จะเข้าสู่การฝึกวิธีรักษาตัวเองและผู้อื่นอย่างเต็มที่

ระดับที่ 2 ผู้เรียนจะได้รับการปรับเพื่อเพิ่มพลังเรกิของตน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ถึงเสียงและสัญลักษณ์ ซึ่งนำมาใช้กับร่างกายในขั้นก้าวหน้าและเพื่อเป็นการเยียวยารักษาให้กับคนที่อยู่ไกลออกไป

ระดับที่ 3 ผู้เรียนจะได้รับอำนาจในระดับที่สามและสัญลักษณ์ในขั้นสุดท้าย การสอนนี้มุ่งเพื่อความเติบโตส่วนตัวของผู้เรียนในการปรับเรกิให้แก่คนอื่นๆ ในระดับที่ 1 ได้

ในเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก มีผู้ให้การบำบัดด้วยเรกิและชั้นเรียนเรกิอยู่มากมาย

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า