สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ปัญหาเมื่อลูกเริ่มดูดนมแม่ในสัปดาห์แรก

เมื่อแม่กับลูกได้ทำความรู้จักเบื้องต้นกันแล้ว และจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันต่อไป ความสามารถในการรับรู้และแสดงออกของทารกแรกเกิดมีมากกว่าที่เราคิดมากเลยทีเดียว ลูกจะจำเสียง และจำกลิ่นน้ำนมของแม่ได้ หากแม่ลูกได้ใกล้ชิดและดูแลลูกตั้งแต่เริ่มแรกก็จะทำให้รู้ใจกันมากขึ้น การที่ลูกอยู่ข้างเตียงคุณแม่ตลอดเวลาตั้งแต่แรกเกิดมีก็ข้อดีเช่นนี้ คุณแม่จะมีความชำนาญในการให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำทำความสะอาดลูกเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไปอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาไปเริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่ เพราะผู้ช่วยที่จะให้คำแนะนำที่ถูกต้องอาจจะไม่มีก็ได้เมื่อต้องกลับบ้านไป

การที่คุณแม่กลัวว่าลูกจะได้นมไม่พอ เพราะดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดใน 2-3 วันแรก และในช่วงนี้เต้านมก็ยังไม่คัด คุณแม่จึงเห็นว่าลูกได้นมไปไม่มากพอ

คุณแม่มือใหม่ที่อุ้มลูกครั้งแรกอาจยังเก้ๆ กังๆ แต่ถ้าได้อุ้มบ่อยๆ ก็จะชำนาญไปเอง การให้ลูกได้นอนข้างเตียงแม่ทำให้สามารถให้นมลูกได้ตามความต้องการของเขาจะช่วยเร่งการสร้างน้ำนมให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในระยะแรกๆ นมแม่จะยังไม่คัดก็ตาม ในระยะเริ่มต้นให้นมแม่กำลังใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น คุณแม่ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับลูก ควรหาผู้ที่เข้าใจเรื่องนมแม่เพื่อเป็นการสนับสนุน ในช่วงแรกทารกไม่ได้ต้องการนมมากมายอะไร ธรรมชาติได้จัดสรรมาดีอย่างสมเหตุผลอยู่แล้ว สิ่งที่ทารกต้องการในช่วงนี้คือ ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยเหมือนกับที่อยู่ในท้องแม่ต่างหาก ในช่วงนี้ ธรรมชาติจึงทำให้แม่มีน้ำนมน้อยๆ เพื่อที่แม่จะได้อุ้มลูกขึ้นมาดูดนมแม่บ่อยๆ ทุก 2 ชั่วโมง อ้อมแขนของแม่จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจว่าปลอดภัย เขาก็จะมีความรู้สึกที่ดี มีความสุข และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของโลกได้ดียิ่งขึ้น

การเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีวิธีการดังนี้
-หลังคลอดควรให้ลูกได้ดูดนมแม่เร็วที่สุด
-ตั้งแต่แรกเกิดควรให้ลูกได้นอนข้างเตียงแม่ตลอดเวลา
-ทั้งกลางวันและกลางคืนควรให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ตามความต้องการของลูก
-ควรอุ้มลูกในท่าที่ถูกต้องเมื่อให้นมแม่แก่ลูก
-ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในช่วงที่ลูกหลับก็ควรนอนหลับพักผ่อนไปด้วย
-ไม่ควรให้ลูกดูดน้ำ นมผสม หรือหัวนมหลอกจากจุกนมยาง

เมื่อเต้านมคัดควรทำอย่างไร
ในวันที่ 3-4 หลังคลอด น้ำนมจะเริ่มมา รู้สึกคัดตึง เต้านมแข็ง หรือนมคัด ถ้าคุณแม่ได้ทำตามคำแนะนำที่ถูกต้อง จากการดูดบ่อยๆ ของลูกเป็นสัญญาณแสดงให้รู้ว่าเริ่มมีการผลิตน้ำนมมากขึ้น

วิธีบรรเทาอาการคัดตึงเต้านมได้ดีที่สุดคือ การให้ลูกดูดนม ถ้าปล่อยให้ค้างไว้จะทำให้ผลิตน้ำนมได้น้อยลง เพราะต่อมน้ำนมจะถูกความดันในเต้านมบีบให้แฟบลง ดังนั้น ทันทีที่รู้สึกคัดจะต้องให้ลูกดูดนมออกมา ถ้ายังรู้คัดเต้านมอยู่แม้จะให้ลูกดูดนมจนอิ่มแล้ว ก็ให้บีบหรือปั๊มน้ำนมทิ้ง จะทำให้เต้านมสร้างน้ำนมขึ้นมาใหม่ได้ หรืออาจบรรเทาอาการคัดเต้านมลงได้เช่นกันถ้าอาบน้ำอุ่น หรือประคบด้วยน้ำอุ่น

หากเต้านมคัดมากจนลานหัวนมเต่ง ลูกอาจงับหัวนมแล้วลื่นหลุดบ่อยๆ เพื่อทำให้ลูกงับหัวนมติดและดูดได้ถนัดยิ่งขึ้น ควรบีบน้ำนมออกให้ลานหัวนมยุบลงเสียก่อน

อาการหัวนมเจ็บ
ขณะที่ลูกเริ่มงับและดูดนมมักจะมีอาการแสบร้อน และอาการจะดีขึ้นเมื่อนมเริ่มไหล อาจมีอาการหัวนมแดง จับสากมือ มีรอยแตก หรือมีเลือดซึมเล็กน้อยในบางราย

เมื่อลูกดูดนมไปได้ประมาณ 20 มื้อ หัวนมก็มักจะเริ่มเจ็บ และจะหายเจ็บอย่างรวดเร็วหลังจากมีอาการอยู่ประมาณ 1-2 วัน เป็นเพียงการยืดเวลาการเจ็บหัวนมออกไปเท่านั้นถ้าจะจำกัดมื้อนม หรือให้นมข้ามมื้อ ดังนั้น ถ้าทุก 2-3 ชั่วโมง คุณแม่ให้ลูกดูดนม อาการเจ็บก็จะน้อยลง และควรให้ลูกได้ดูดนมตามความต้องการในวันที่ 4 และต่อๆ ไป

จะป้องกันได้อย่างไรเพื่อไม่ให้หัวนมเจ็บ
-ควรอุ้มลูกให้อยู่ในท่าที่ถูกต้องเมื่อให้นมแก่ลูก ต้องให้หัวนมและลานหัวนมเข้าในปากลูกทั้งหมดเมื่อให้ลูกงับหัวนม เพราะขากรรไกรและเหงือกจะไปกดลานหัวนมที่มีกระเปาะท่อน้ำนมอยู่เมื่อลูกดูด ทำให้น้ำนมพุ่งเข้าปากลูกได้ดี และในระหว่างการดูดนมหัวนมที่อยู่ลึกเข้าไปในปากก็จะไม่สัมผัสกับอะไรเลยจึงไม่ทำให้แตกหรือเป็นแผล

-การให้นมลูกควรเปลี่ยนเป็นท่านั่ง หรือนอนบ้าง เพื่อให้ตำแหน่งที่เหงือกสัมผัสลานหัวนมเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ย้ำอยู่ที่เดียวตลอดเวลา

-น้ำนมแม่จะช่วยประสานรอยที่เริ่มแตกได้ดี ดังนั้น ให้ใช้น้ำสะอาดเช็ดหัวนมหลังจากที่ลูกดูดนมในแต่ละข้างแล้ว และบีบน้ำนมมาเคลือบหัวนมไว้ แล้วปล่อยไว้ให้แห้ง

-การทำความสะอาดหัวนมไม่ควรใช้สบู่ หรือแอลกอฮอล์ ให้ใช้เฉพาะน้ำเท่านั้น เพราะบนลานหัวนมที่เห็นตะปุ่มตะป่ำ จะมีต่อมมอนโกเมอรี่(montgomery) ที่คอยหลั่งไขธรรมชาติออกมาปกป้องอยู่แล้ว จะเป็นการทำลายไขธรรมชาตินี้ออกไปเสีย หากใช้สบู่หรือแอลกอฮอล์

-หากผ้าซับน้ำนมเปียกก็ควรเปลี่ยนทุกครั้ง ควรรักษาหัวนมให้แห้งไม่ใช้เปียกชื้น และไม่ควรใช้ผ้าซับน้ำนมที่บุพลาสติก เพราะจะทำให้ความชื้นระเหยออกไม่ได้ ทำให้อับชื้นจากอากาศที่เข้าไปสัมผัสหัวนมไม่ได้

-อาจทำให้หัวนมเจ็บได้ ถ้าเต้านมคัดตึงจนทำให้ทารกอมลานหัวนมเข้าในปากลำบาก และดูดเฉพาะบริเวณหัวนม ควรทำให้ลานหัวนมยุบลงพอควรก่อนด้วยการบีบน้ำนมออกมา และเพื่อให้ลูกงับได้สะดวกและลึกพอ ควรคีบบริเวณลานหัวนมให้ยื่นออกมาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้เสียก่อน

-เมื่อลูกดื่มนมแม่จนอิ่มแล้ว เพื่อไม่ให้เหงือกครูดกับหัวนม ควรเอานมออกจากปากลูกอย่างนุ่มนวล

จะแก้ไขอย่างไรเมื่อหัวนมเจ็บหรือเป็นแผล
ท่าในการดูดนม
-ใช้ท่าอุ้มที่ถูกต้องในการให้นมลูก และควรอุ้มสลับเปลี่ยนหลายๆ ท่า

-เต้านมอาจเลื่อนหลุดจากปากลูกบ่อยๆ เพราะเต้านมมีน้ำนมมากและหนัก เพื่อไม่ให้เกิดการถ่วงจนเลื่อนหลุดคุณแม่ควรใช้มือพยุงเต้านมให้อยู่ในปากลูกขณะลูกกำลังดูดนมอยู่

การรักษาหัวนมให้แห้ง
-ควรเปิดหัวนมให้ได้รับแดดอ่อนๆ เพื่อให้ถ่ายเทอากาศบ้างในระหว่างที่ลูกไม่ได้ดูดนม

-ในเสื้อยกทรงควรใส่กระชอนเล็กๆ ที่มีขนาดพอดีกับลานหัวนมไว้ ตาข่ายในกระชอนจะช่วยถ่ายเทอากาศมายังหัวนมทำให้ไม่ไปสัมผัสกับเสื้อยกทรง หรืออาจจะใช้ช้อนพลาสติกรูปทรงกลมที่มีก้นลึกขนาดที่พอดีกับลานหัวนม เจาะรูเล็กๆ ระบายอากาศ มาใช้แทนก็ได้

-ไม่ควรใช้ผ้าซับน้ำนมหรือผ้ากอซถ้าหัวนมแตก เพราะจะทำให้หัวนมเปียกชื้นตลอดเวลาเมื่อผ้าเปียกน้ำนม ผ้าจะแข็งติดหัวนมเมื่อแห้งลง เวลาดึงออกส่วนที่เป็นแผลแตกก็จะยิ่งเป็นแผลมากขึ้น

การให้นม
-ควรเริ่มให้นมข้างที่เจ็บน้อยก่อน และค่อยเปลี่ยนมาให้ข้างที่เจ็บมากเมื่อน้ำนมไหลพุ่งดีแล้ว

-ถ้าลูกหิวจัดจะอ้าปากงับและดูดอย่างรุนแรง จึงควรให้นมลูกก่อนที่จะร้องเพราะหิว

-ก่อนจะสอดหัวนมเข้าไปควรให้ลูกอ้าปากให้กว้างพอเสียก่อน เพราะอาจทำให้เจ็บหัวนมได้ ถ้าลูกอ้าปากไม่กว้างแล้วไปงับที่หัวนมก่อนแล้วค่อยๆ กระเถิบเข้าไปทีหลัง

-หลังจากที่ลูกดูดนมจนอิ่มแล้ว ควรใช้น้ำนมแม่ทาบริเวณหัวนมที่แตกและปล่อยให้แห้ง เพราะน้ำนมแม่สามารถสมานแผลแตกของหัวนมได้

ทารกแรกเกิดที่มีอาการตัวเหลือง
ในร่างกายของคนเราจะมีการเสื่อมสลายและการสร้างใหม่ของเม็ดเลือดแดงอยู่ตลอดเวลา เมื่อหมดอายุของเม็ดเลือดแดงก็จะถูกทำลายเป็นสาร บิลิรูบิน(bilirubin) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า สารเหลือง สารเหลืองนี้จะถูกกำจัดโดยรกของแม่ขณะที่อยู่ในครรภ์ ทารกจะต้องกำจัดสารเหลืองนี้เองเมื่อแรกเกิดออกมา โดยผ่านทางตับเพื่อเข้าสู่ขบวนการทำลาย และขับออกมาทางน้ำดีไปยังลำไส้ และจะถูกขับออกจากร่างกายทางอุจจาระอีกที

การทำงานของตับทารกในระยะแรกเกิดยังไม่มีความสมบูรณ์ ทำให้การกำจัดสารเหลืองยังทำได้ไม่ดีพอ ในสัปดาห์แรกไม่ว่าทารกแรกเกิดจะกินนมแม่หรือนมผสมก็จะมีตัวเหลืองเล็กน้อยได้ โดยวันที่ 3 มักจะเห็นอาการเหลืองนี้ และค่อยๆ จางหายไปภายในวันที่ 7 อาการตัวเหลืองนี้ เรียกว่า ตัวเหลืองที่เกิดขึ้นตามปกติในทารกแรกเกิด(physiologic jaundice) ซึ่งไม่ใช่การเจ็บป่วย ทารกจะเป็นปกติและแข็งแรงดี

การขับสารเหลืองในวิธีของธรรมชาติ
การขับสารเหลืองออกมาทางอุจจาระ จะสังเกตเห็นว่าในวันแรกทารกจะอุจจาระออกมามีสีดำ และเหนียว ที่เรียกกันว่า ขี้เทา(meconium)

เพื่อให้ลำไส้มีการบีบตัวขับขี้เทาออกจากร่างกาย หัวน้ำนมของแม่ในวันแรกๆ จะช่วยได้ ขี้เทาจะถูกขับออกจนหมดหากให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ จนอุจจาระกลายเป็นสีเหลืองทอง ในสัปดาห์แรกหลังจากนี้ เกือบทุกครั้งที่ทารกดูดนมแม่ก็จะถ่ายบ่อยๆ ซึ่งวิธีการขับสารเหลืองจากธรรมชาติ และอาจทำให้ทารกตัวเหลืองมากขึ้นได้ ถ้าสารเหลืองถูกดูดซึมกลับเข้ากระแสเลือดอีกจากการที่อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานๆ

ทารกตัวเหลืองอาจมีสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกันคือ การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือการใช้เครื่องดูดขณะทำคลอด การใช้ยากับแม่ในระยะใกล้คลอดหรือระหว่างคลอด ทำให้ยาผ่านรกไปยังทารกทำให้ตับต้องทำลายยานี้ จึงทำหน้าที่ในการกำจัดสารเหลืองได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้เกิดรอยช้ำจ้ำเขียวจากการคลอดขึ้น

โรคที่พบบ่อยที่ทำให้เกิดภาวะตัวเหลือง
1. ภาวะพร่องเอนไซม์ จี ซิกสืพีดี(G-6-PD deficiency) ในประเทศไทยเป็นภาวะกรรมพันธุ์ที่พบบ่อยมาก โดยเฉลี่ยพบในผู้ชายประมาณร้อยละ 12

2. กลุ่มเลือดแม่กับลูกไม่เข้ากัน อาการเหลืองมักจะแสดงให้เห็นได้เร็ว บางราย 24 ชั่วโมงหลังคลอดก็จะมีอาการตัวเหลือง

แพทย์จะตรวจดูว่าสาเหตุตัวเหลืองเกิดจากอะไร เพื่อจะได้รักษาไปตามสาเหตุที่พบ บางรายอาจต้องลดระดับสารเหลืองลงด้วยการส่องไฟ

ให้ลูกกินนมแม่ต่อไปได้หรือไม่ถ้าลูกตัวเหลือง
มีการศึกษาเกี่ยวกับการเกิดภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดของนักวิจัยชื่อ เอ็ม.ดี คาร์วาลโช(M. de Carvalho) ได้พบว่า ทารกที่กินนมแม่ทุก 2 ชั่วโมง แทนที่จะให้ทุก 4 ชั่วโมง จะลดสารเหลืองลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง และลดได้ต่ำกว่าทารกที่กินนมผสมอีกด้วย

ดังนั้น ในทารกที่ตัวเหลืองจึงไม่มีข้อห้ามในการให้นมแม่ การดูดนมแม่บ่อยๆ จะช่วยให้ลำไส้บีบตัวขับอุจจาระได้ดีขึ้น เมื่อสารเหลืองถูกขับออกมา ก็จะทำให้อาการตัวเหลืองลดลงได้เร็วขึ้นเช่นกัน

การให้ทารกที่ตัวเหลืองดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการตัวเหลือง ในปัจจุบันพบว่ายิ่งทำให้ตัวเหลืองมากขึ้น เพราะการขับปัสสาวะไม่ได้ทำให้สารเหลืองลดลง ทารกจะดูดนมแม่น้อยลงเพราะดื่มน้ำจนอิ่มแล้ว จะทำให้ผลิตน้ำนมแม่ได้น้อยลง เพราะเต้านมของแม่ไม่ได้รับการกระตุ้นมากเท่าที่ควร

และเมื่อดูดนมน้อย ลำไส้ก็ทำงานน้อย ทำให้มีอุจจาระและสารเหลืองค้างอยู่ในลำไส้ ทารกจะตัวเหลืองมากขึ้นเพราะสารเหลืองถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดใหม่อีก

ถ้าลูกต้องใช้วิธีการส่องไฟรักษาอาการตัวเหลือง เพื่อให้ลูกได้ดูดนมแม่ต่อไปได้ตามปกติ ควรนำไฟมาส่องข้างเตียงแม่เลย หรือถ้าลูกจำเป็นต้องอยู่ห้องเด็กป่วย คุณแม่ควรเดินไปให้นมลูกบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ หรือไปนอนห้องที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องเด็กป่วย

ในกรณีที่แพทย์แนะนำให้หยุดนมแม่เป็นเวลา 1-2 วัน และเพื่อให้เต้านมยังคงผลิตน้ำนมต่อ คุณแม่ควรบีบน้ำนมออกตามเวลาที่ลูกเคยดูด เพื่อจะได้มีน้ำนมเพียงพอเมื่อลูกต้องกลับมาดูดนมแม่ใหม่

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ วิถีแห่งธรรมชาติ
โดย: พ.ญ. ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า