สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

จินชินจีอัตสึ(Jin Shin Jyutsu)

จินชินจีอัตสึเป็นศิลปะอย่างหนึ่งมิใช่เทคนิค เพราะเทคนิคนั้นสามารถนำมาปรับใช้ได้เลยโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ศิลปะนั้นเป็นการสร้างสรรค์ด้วยทักษะ จินชินจีอัตสึเป็นศิลปะการระบายความตึงเครียดที่เป็นสาเหตุของอาการทางกายหลายอย่างให้ออกไป

หากแปลจากภาษาญี่ปุ่นแบบตรงตัว คำว่า จิน แปลว่า มนุษย์ผู้รู้และมีความเห็นใจ ชิน แปลว่า ผู้สร้างสรรค์ และ จีอัตสึ แปลว่า ศิลปะ รวมแล้วแปลได้ง่ายๆ ว่า จินชินจีอัตสึเป็น ศิลปะของผู้สร้างสรรค์โดยผ่านมนุษย์ผู้มีความรู้และความเห็นใจ

ตั้งแต่ครั้งโบราณยังมีบันทึกที่เขียนไว้ในคลังเอกสารของพระราชวังพระจักรพรรดิในประเทศญี่ปุ่น บอกไว้ว่า ผู้คนรู้จักจินชินอัตสึกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลอย่างกว้างขวาง และก่อนที่โมเซสจะเกิดเสียอีก

จินชินจีอัตสึได้ผ่านมาทางทิเบตและจีนก่อนที่จะมาถึงประเทศญี่ปุ่น จินชินจีอัตสึอาศัยพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับร่างกายและการสร้างสรรค์ วิชานี้ส่งทอดกันมากจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งด้วยการบอกเล่า มีข้อมูลบางตอนที่ถูกฝังอยู่ตามวัดชินโตต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่นในรูปของลายลักษณ์อักษร ซึ่งกล่าวกันว่าหากเอาแผนภูมิของมนุษย์มาทาบเข้ากับแผนที่ประเทศญี่ปุ่นในแต่ละจุดบนร่างกายจะเป็นเครื่องหมายบอกที่ตั้งของวัดชินโต ซึ่งจะพบข้อมูลเกี่ยวกับจุดของร่างกายมนุษย์ได้ที่ในวัดนั้น

ข้อมูลนี้หายไป และในญี่ปุ่นก็ไม่มีใครล่วงรู้กันเลย จนกระทั่งในตอนต้นทศวรรษที่ 1900 มันได้ถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักปรัชญาชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า จิโร มูราอิ

มูราอิ ได้รับการวินิจฉัยว่าติดโรคชนิดหนึ่งและมีการลุกลามรุนแรงจนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว เขาได้ทำตามธรรมเนียมด้วยการให้ครอบครัวพาเขาไปบนเขาและทิ้งเขาไว้ลำพังเป็นเวลา 7 วัน ก่อนที่จะไปมีผู้ให้การบำบัดรักษาแนวธรรมชาติคนหนึ่งได้แสดงเทคนิคการใช้มือที่เขาสามารถทำด้วยตัวเองได้ให้ดู มูราอิเกิดอาการหนาวสะท้าน มีไข้และหมดสติไปเป็นพักๆ ในขณะที่อยู่บนเขา เมื่อถึงวันที่เจ็ดเขาจึงได้รู้ว่าเขาหายจากโรคแล้ว และได้ตั้งปณิธานว่าจะเรียนรู้ระบบที่รักษาให้เขาหายจากโรคให้ได้

มูราอิศึกษาค้นคว้าทั้งจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ตำราโบราณของกรีก อินเดียและจีน รวมถึงโคจิคิ(Kojiki) หรือบันทึกเกี่ยวกับสิ่งโบราณของญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงสมัย ค.ศ.712 อย่างกว้างขวาง อาศัยข้อมูลที่เขาได้เรียนรู้มาจากการทดลองเป็นเวลา 50 ปี มาประกอบเข้าด้วยกันจนไขปริศนาออกมาได้ และได้ข้อสรุปออกมาว่า จินชินจีอัตสึมิใช่เป็นเพียงปรัชญาเกี่ยวกับร่างกายเท่านั้น และเขาก็ได้ศึกษาจุดฝังเข็มของจีนเพื่อเพิ่มความเข้าใจในเวลาต่อมา

ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน ชื่อ แมรี อิโน เบอร์ไมสเตอร์(Mary Ino Burmeister) ซึ่งเกิดในเมืองซีแอ็ตเทิ้ล ในวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เธออยากจะเป็นล่ามทำงานในองค์การสหประชาชาติและได้เดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วเธอก็ได้พบกับชายคนที่ชื่อ จิโร มูราอิ โดยบังเอิญในตอนปลายทศวรรษที่ 1940 คำพูดแรกที่เขาพูดกับเธอ คือ “เธออยากจะศึกษาจากฉันไหม เพื่อจะได้เป็นของขวัญจากญี่ปุ่นกลับไปยังอเมริกา” และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนกับมูราอิในญี่ปุ่นเป็นเวลา 5 ปี และเรียนทางจดหมายในสหรัฐฯ ต่อมาอีก 7 ปี

เบอร์ไมสเตอร์ยังมิได้ถ่ายทอดความรู้ของเธอให้แก่ใครแม้จะเรียนกับมูราอิจนจบแล้ว จนกระทั่งเกือบ 20 ปีให้หลัง ซึ่งการบำบัดรักษาตามหลักจินชินจีอัตสึทุกวันนี้สามารถหาผู้ให้การรักษาได้ทั่วโลก ผู้ที่อยากจะเรียนเพื่อเป็นผู้ให้การบำบัดรักษาโรค หรือเพื่อช่วยตัวเองด้วยวิธีนี้ก็สามารถเข้าเรียนได้ในลักษณะของการสัมมนาควบกับการฝึกฝน ที่มีจัดขึ้นทั่วสหรัฐฯ และในยุโรปเป็นประจำ

จินชินจีอัตสึ ช่วยให้พลังงานไหลเวียนทั่วร่างกายได้อย่างเสรีคล้ายกับการฝังเข็ม พลังชีวิต คือ ชี่ ไหลเวียนอยู่ในเมอริเดียน จะเดินทางไปทั่วร่างกายและบนผิวหนัง แต่เมื่อมีการอุดตันพลังงานก็จะถูกกักขังทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวด หรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาได้ ซึ่งความตึงเครียดทางกาย จิตใจหรืออารมณ์จะทำให้เกิดอาการอุดตันในเส้นทางพลังงานของร่างกายขึ้น

พลังชีวิตไหลไปในแนวขึ้น ทางด้านหลังของลำตัว และไหลลงทางด้านหน้า จินชินจีอัตสึมีแผนภูมิบอกถึงพลังงานค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับแผนภูมิแสดงเมอริเดียนของศาสตร์ด้านการฝังเข็ม แต่มีจุดน้อยกว่ามาก ซึ่งการไหลเวียนของพลังงานในจินชินจีอัตสึจะติดขัดในจุดใดจุดหนึ่งในจำนวนทั้งสิ้น 26 จุด ที่ตั้งอยู่ทั่วร่างกายและบางจุดก็อยู่ในอวัยวะ

ผู้ให้การบำบัดจะวางมือลงบนจุด 2 จุด ที่ตัวของผู้รับการบำบัด และกดเบาๆ เป็นเวลา 1-5 นาที ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นจุดที่อยู่ในจำนวน 26 จุด และใช้ประกอบกันได้หลายแบบ

จินชินจีอัตสึ ใช้ประโยชน์จากการไหลเวียนของพลังงานในตัวผู้รับการบำบัดที่ผ่านมือของผู้ให้การบำบัด แล้วนำย้อนกลับไปเติมพลังงานให้แก่ผู้รับการบำบัดในบริเวณที่มีการอุดตัน

กระบวนการนี้ผู้ให้การบำบัดทำหน้าที่เป็นเสมือนเพียงช่องทางให้พลังงานไหลผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นการดึงเอาพลังงานไปจากผู้ให้การบำบัด มือของผู้ให้การบำบัดจะทำหน้าที่เป็นเพียง สายพ่วง ที่โยงให้พลังงานไหลผ่านไปสู่ผู้รับการบำบัดอีกทีหนึ่ง

พลังงานที่ถูกประจุเข้าไปใหม่ จะช่วยในการฟื้นฟูความสอดคล้องกลมกลืนให้กับระบบและสร้างความสมดุลของกาย/ความคิด/จิตวิญญาณ ด้วยการเข้าไประบายการอุดตันในเส้นทางเดินของพลังงานที่เกิดมาจากความเครียด

จินชินจีอัตสึไม่มีการวินิจฉัยโรค ไม่ได้รักษาเยียวยาความป่วยไข้ทางกายหรืออารมณ์ใดๆ เพียงแต่ทำให้พลังงานไหลเวียนได้อย่างเสรีเพื่อให้ร่างกายมีการทำหน้าที่ในระดับที่เกิดประโยชน์สูงที่สุด

จินชินจีอัตสึ จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะและอารมณ์ด้วยเหมือนกับการฝังเข็มแบบดั้งเดิม ความอ่อนแอที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งจะทำให้คนๆ นั้นตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกันได้ง่าย เช่น เมื่อไตและกระเพาะปัสสาวะมีความอ่อนแอก็จะทำให้มีแนวโน้มที่จะแสดงความกลัวออกมา

แมรี่ เบอร์ไมสเตอร์ ได้ยืนยันว่า จินชินจีอัตสึเป็นศิลปะความสามารถที่คนเรามีมาแต่กำเนิด สามารถเรียนรู้ได้กันทุกคน ไม่ต้องมีการฝึกฝนกันมากนัก แม้จะมีผู้ให้การบำบัดช่วยได้ก็ตาม ซึ่งประโยชน์ที่สำคัญของจินชินจีอัตสึก็คือ สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือเยียวยารักษาตัวเองได้ สามารถทำได้ทุกเวลา โดยที่มันสามารถผ่านเสื้อผ้าที่สวมใส่หรือผ่านเหล็กดามหรือเฝือกเข้าไปได้ด้วย

มีหนังสือที่เกี่ยวกับจินชินจีอัตสึในแง่มุมต่างๆ รวมทั้งแผนภูมิแสดงจุดทั้ง 26 มีจำหน่ายโดยบริษัทจินชินจีอัตสึ อิงค์ ซึ่งได้มีการสอนในสหรัฐฯ แคนาดา และอเมริกาใต้ หากผู้ใดสนใจสามารถติดต่อได้ตามที่อยู่ดังนี้
Jin Shin Jyutsu Inc,
8719 San Alberto
Seotts dale, AZ 85258,
(602) 998-931

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า