ด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์มีผลต่อเลือด สมอง และหัวใจ โดยมีผลตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และมีรายงานการเกิดโรคพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตมากในประเทศจีนและประเทศสหรัฐอเมริกา ปีหนึ่งๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยได้รับพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ชนิดรุนแรงจำนวน 10,000 คนที่เข้ารับบริการทางการแพทย์และเสียชีวิตปีละ 3,500 คน. ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2536 นายแพทย์ Niel Hamp¬ton แห่งเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตหมู่จากพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ ในเด็ก 3 ใน 4 คน ที่นั่งในประทุนหลังของรถปิกอัพที่เปิดท้ายแต่ปิดด้านข้างทำให้คาร์บอนมอนอกไซด์เข้ามาได้ สำหรับผู้ป่วยพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ชนิดเล็กน้อยถึงปานกลาง มักได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคอื่นถึงร้อยละ 30 เช่น ไมเกรน, พิษจากแอลกอฮอล์, โรคหัวใจ หรืออาหารเป็นพิษ เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้จะมาในกลุ่มอาการ non specific เพราะภาวะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะทั้งร่างกาย และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการของ flu-like syndromes ได้แก่ กลุ่มอาการปวดศีรษะ งุนงง สับสน บางครั้งก็มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน. ซึ่งเมื่อใช้การวัดระดับ carboxyhemoglobin (HbCO) เพิ่มเติมจากประวัติแล้วจะช่วยในการวินิจฉัยและประกอบการรักษาได้มาก ส่วนใหญ่การรักษาใช้ hyperbaric oxygen therapy เมื่อ HbCO ตั้งแต่ 25% ขึ้นไป ในบางกรณีใช้ที่ระดับต่ำกว่านั้น สำหรับประเทศไทยมีรายงานการตายในเด็กปั๊ม และผู้ขับรถที่เปิดเครื่อง ปิดประตู หน้าต่าง และกระจกนอน แล้วพบว่าเสียชีวิต ซึ่งสงสัยว่าจากพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ โดยประมาณการว่าคาร์บอนมอนอกไซด์ จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ได้หลุดเข้ามาในตัวรถ และทำให้ผู้ที่อยู่ในรถเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ได้
ตารางที่ 1. ระดับเฉลี่ยคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจ, HbCO และอัตราเกิดของ mild carbonmonoxide ในผู้โดยสารรถประจำทางไม่ปรับอากาศ กรุงเทพมหานคร ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2535.
ในประเทศไทยมีโครงการเฝ้าระวังพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ในผู้โดยสารรถประจำทางไม่ปรับอากาศในปี พ.ศ. 2533, 2534, และ 2535 ต่อเนื่องกัน 3 ปีแล้วมีระดับคาร์บอนมอนอกไซด์เฉลี่ยในลมหายใจ (exhealed CO) เท่ากับ 12.4, 17.8 และ 19.5 ppm. ในปี พ.ศ. 2533, 2534 และ 2535 ตามลำดับ และมีระดับ HbCO ในเลือดเท่ากับร้อยละ 1.7, 2.4, และ 3.2 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาผู้ที่มีระดับคาร์บอกซีฮีโมโกลบินในเลือดตั้งแต่ 10% ขึ้นไป ซึ่งจัดเป็น mild carbonmonoxide poison¬ing จะพบว่ามีผู้ป่วยระดับดังกล่าวเท่ากับ 23.0, 26.0 และ 39.0 ต่อประชากร 100 คน ตามลำดับ (ตารางที่ 1).
ตารางที่ 2. ค่าเฉลี่ยของคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหานใจออก (exhaled CO) และระดับ HbCO ในผู้โดยสารรถประจำทางไม่ปรับอากาศ จำแนกตามสถานที่และเวลา เขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2535.
ตารางที่ 3. ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจและ HbCO ของ ผู้โดยสารจำแนกตามประเภทยานพาหนะ ระหว่างเวลา 17.00 น.-18.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2535.
เมื่อพิจารณาจำแนกตามเวลาและสถานที่ จะพบว่า ผู้ที่เดินทางในรถประจำทางไม่ปรับอากาศ ในชั่วโมงเร่งรีบ (6.00-8.00 น. และ 17.00-19.00 น.) จะมีระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจ และ HbCO สูงกว่าผู้เดินทางในชั่วโมงไม่เร่งรีบ (13.00-15.00 น.) และผู้เดินทางในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รอบในจะมี exhaled CO สูง กว่าผู้เดินทางพื้นที่รอบนอก 3 เท่า และมี HbCO สูงกว่า เท่ากับ 3-5 เท่า (ตารางที่ 2).
เมื่อเปรียบเทียบระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจและ HbCO ของผู้โดยสารยานพาหนะชนิดต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานครแล้ว พบว่า ผู้โดยสารรถโดยสารประจำทางไม่ปรับอากาศ รถสามล้อเครื่อง และรถจักรยานยนต์ เป็นผู้ที่มีระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ และ HbCO สูงกว่ากลุ่มอื่น (ตารางที่ 3).
เมื่อผู้โดยสารเดินทางด้วยพาหนะเดียวกันไปในท้องที่ต่างกันตั้งแต่เขตกลางกรุงเทพมหานครไปยังต่างจังหวัด บนเส้นทางสายเอเชีย พบว่า ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ ในลมหายใจ และ HbCO จะลดลงเรื่อยๆ (ภาพที่ 1).
สำหรับระดับ exhaled CO และ HbCO ของผู้ที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้ที่อยู่ริมนํ้าเจ้าพระยา ตึกสูง และอาคารห่างจากถนนใหญ่มากกว่า 100 เมตร จะมีระดับ exhaled CO และ HbCO ต่ำกว่ากลุ่มผู้อยู่บริเวณอื่น (ตารางที่ 4).
ภาพที่ 1. ระดับค่าเฉลี่ยของ Exhaled CO ในกลุ่มผู้โดยสารรถยนต์นั่งส่วนบุคคลบนเส้นทางกรุงเทพฯ-นครสวรรค์ พ.ศ. 2535.
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนที่มีเศรษฐฐานะ อายุวัยเดียวกันในพื้นที่ชนบทในทุกพื้นที่ (มีระดับ exhaled CO และ HbCO เฉลี่ยเท่ากับ 0.8 ppm. และ 0% ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกับผู้อาศัยอยู่บ้านริมแม่นํ้าเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานคร) กับผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครแบบรวมพื้นที่ (มี exhaled CO เฉลี่ยเท่ากับ 8.5 ppm. และ HbCO เฉลี่ยเท่ากับ 1.0 ppm.). แล้วจะพบว่า exhaled CO สูงกว่าคนในชนบท 10.6 เท่า. สำหรับเด็ก พบว่า เด็กในกรุงเทพมหานครกลุ่มอายุ 8-10 ปีมีระดับ exhaled CO และ HbCO เฉลี่ยเท่ากับ 5.8 ppm. และ 0.8% ตามลำดับ สูงกว่าระดับของ exhaled CO และ HbCO ในเด็กชนบท ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.5 ppm. และ 0% ตามลำดับ โดยมี exhaled CO สูงกว่า 11.6 เท่า.
สำหรับแหล่งกำเนิดคาร์บอนมอนอกไซด์จากการเผาไหม้ชนิดต่างๆ ที่พบได้ในชีวิตประจำวันของผู้คนโดยทั่วไปนั้น พบว่า ควันจากท่อไอเสียรถที่ใช้น้ำมันเบนซินนั้น มีระดับคาร์บอนมอนอกไซด์สูงสุด สูงกว่ารถที่ใช้ แอลพีจี 13 เท่า และควันจากบุหรี่ก็ให้คาร์บอนมอนอกไซด์สูงเช่นกัน โดยสูงกว่าควันจากยากันยุงและจากเตาแก๊สที่ใช้ตามบ้านด้วย (ตารางที่ 5).
ตารางที่ 4. ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจ และ HbCO ในผู้ที่อยู่ในบริเวณที่แตกต่างกันของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2535.
สำหรับผู้สูบบุหรี่นั้น ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ที่หายใจออกมามีค่าเฉลี่ยที่ 110 ppm. ซึ่งทำให้บรรยากาศในรัศมี 1 เมตรรอบผู้สูบบุหรี่มีระดับคาร์บอนมอนอกไซด์เท่ากับ 96 ppm. ซึ่งสูงกว่าระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ NIOSH (National Institute of Occupational and Safety Health). ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดให้สถานที่ทำงาน ไม่ควรมี CO แบบ time weighted average เกินกว่า 35 ppm. หรือสูงกว่าถึง 3 เท่า.
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สูบบุหรี่จะมีระดับ HbCO 5% ขึ้นไป ซึ่งในบางรายอาจมีอาการมึนศีรษะ และอาการอื่นๆ ได้บ้าง และในคนทั่วไปที่ไม่สูบบุหรี่จะมีระดับ HbCO 0- 2%. เมื่อพิจารณาดูแล้วจะพบว่าผู้โดยสารรถประจำทางไม่ปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่จะมีระดับ HbCO มากกว่า 2% และในชั่วโมงเร่งรีบจะมี HbCO มากกว่า 5% ซึ่งเท่ากับในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ และมีในบางพื้นที่มีระดับ HbCO มากกว่า 10% ซึ่งจะเป็นพิษชนิด mild carbonmonoxide poisoning จึงควรที่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ตำรวจจราจร ผู้บริหาร จะได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ และเร่งรัดแก้ไขปัญหาต่อไป. สำหรับหน่วยงานบริการทางการแพทย์ในเขตเมือง ควรได้มีบริการวินิจฉัย รักษา และให้คำแนะนำทางการแพทย์และสาธารณสุขเกี่ยวกับปัญหาพิษคาร์บอนมอ¬นอกไซด์ และปัญหาสุขภาพอื่นที่เกี่ยวข้องกับควันรถในหน่วยงานเพื่อบริการประชาชนด้วย.
ตารางที่ 5. ระดับ CO ในควันที่ได้จากการเผาไหม้ จำแนกตามประเภท พ.ศ. 2534.
ที่มา:อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล พ.บ., M.P.H.
สุวรรณี โชติพนัง ศ.บ.
ขจรศรี แก้วคล้าย ศ.บ.
สำนักงานอาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
กรมการแพทย์, กระทรวงสาธารณสุข