สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การแพทย์แผนออสทีโอพาธี(Osteopathy)

การแพทย์แผนออสทีโอพาธีจะมุ่งประเด็นไปที่การรักษาตัวบุคคลไม่ใช่รักษาแต่เพียงโรค ที่เน้นความสัมพันธ์ของโครงสร้างของร่างกายกับหน้าที่ของร่างกาย เป็นระบบการดูแลสุขภาพที่ประสานการนวดเข้ากับการแพทย์ในแนวรักษาตามอการ หรือการแพทย์ที่อยู่ในระบบของการแพทย์แผนปัจจุบัน

คำว่า “ออสทีโอพาธี”(Osteopathy) มาจากรากศัพท์ในภาษากรีกว่า ออสทีออน(osteon) ที่แปลว่า “กระดูก” และพาธอส(pathos) ซึ่งแปลว่า “ความรู้สึก” ในปี ค.ศ.1874 นายแพทย์แอนดรูว์ เทย์เลอร์ สทิล(Andrew Taylor Still) ก็ได้พัฒนาการแพทย์แผนออสทีโอพาธีขึ้นมา เขาเกิดในปี ค.ศ.1828 ที่รัฐเวอร์จิเนีย มารดาเป็นชาวสก็อตและบิดาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เยอร์มัน ในช่วงสงครามกลางเมืองเขาได้ทำงานเป็นศัลยแพทย์อยู่ในกองทัพของฝ่ายยูเนียน

นายแพทย์สทิล เป็นผู้ที่เรียนรู้จากธรรมชาติเสมอว่าและปักใจเชื่อว่าร่างกายเป็นกลไกที่สมบูรณ์ที่ทำงานได้อย่างราบรื่นหากว่าไม่มีอะไรมาขัดขวาง และไม่พอใจกับประสิทธผลของการแพทย์ในสมัยศตวรรษที่ 19 และการใช้ยาในการเยียวยารักษาโรค รวมทั้งวิธีการอื่นๆ

นายแพทย์สทิลยืนยันว่า แพทย์ทั้งหลายต่างมองเห็นผลที่เกิดจากโรคอยู่แล้ว และจะต้องหาสาเหตุของมันเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของคนไข้ เพราะโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ และผล อยู่

สทิลสนใจความสัมพันธ์ของเนื้อเยื่อต่างๆ ที่มีต่อโครงกระดูก และชักนำในเขาเชื่อว่าการทำงานของร่างกายถูกกำหนดมาจากโครงสร้างของมัน ร่างกายส่วนอื่นๆ จะไม่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าโครงสร้างเกิดบิดเบี้ยวขึ้นมา

นายแพทย์สทิลได้ทำงานเป็นหมอดัดกระดูกหรือคนจัดกระดูก(bone setter) มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในปี ค.ศ.1887 ก็ได้เปิดคลินิกขึ้นเป็นการเฉพาะที่เคิร์คสวิล(Kirksvill) รัฐมิสซูรี เขาได้เริ่มสอนศิลปะนี้ให้ลูกชายของเขาทั้ง 4 คน และได้ก่อตั้งสถาบันออสทีโอพาธีของอเมริกันขึ้นมาในปี ค.ศ.1892

แนวคิดเรื่อง “ความสบายดี”(wellness) นี้ นายแพทย์สทิลก็ได้เป็นผู้บุกเบิกมันขึ้นมา ด้วยการช่วยให้คนไข้มีการพัฒนาสไตล์การดำเนินชีวิตแบบส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคพยาธิทั้งหลาย การออกกำลังกาย กับอาหารและโภชนาการที่เหมาะสมจะทำให้หลักการเรื่องนี้สำเร็จได้ ปรัชญานี้เป็นศิลาฤกษ์ของวิชาชีพออสทีโอพาธีมานานกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว

แพทย์แผนออสทีโอพาธี หรือที่ใช้อักษรย่อว่า ดีโอ(ย่อมาจาก Doctor of Osteopathy)ทุกวันนี้ต้องเรียนจบได้ปริญญาเอ็มดี(M.D. หรือ พ.บ. หรือแพทย์ศาสตร์บัณฑิต) หรือผ่านการเรียนการฝึกทำนองเดียวกับแพทย์แผนปัจจุบันทั่วไป การเรียนแพทย์แผนออสทีโอพาธีต้องเรียนตามหลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี เป็นแพทย์ฝึกหัด 1ปี และโปรแกรมการเป็นแพทย์ประจำบ้านในสาขาเฉพาะทางตามแต่จะเลือกอีก 2-6 ปี

แพทย์แผนออสทีโอพาธี จะยึดมั่นต่ออุดมคติของฮิปโปเครตีสในเรื่องการแพทย์ ที่มีการพิจารณาในแบบองค์รวมเพื่อรักษาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และรักษาทั้งคนไม่ใช่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือเฉพาะอาการใดอาการหนึ่ง โดยจะพิจารณาเลยไปถึงภาวะทางอารมณ์ ความคิด จิตใจของคนไข้ รวมทั้งระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกด้วย

การกระตุ้นความสามารถตามธรรมชาติของบุคคลเพื่อเยียวยาหรือทำให้กลับไปสู่สภาพของความมีสุขภาพดีที่สุดคือการรักษาของแพทย์แผนออสทีโอพาธี แพทย์แผนนี้ยังสามารถสั่งยา ให้การผ่าตัด และใช้วิธีการวินิจฉัย และการรักษาทุกอย่างเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของคนไข้ได้เช่นเดียวกับการแพทย์ที่อยู่ภายในระบบ

การแพทย์แผนออสทีโอพาธี จะมีการเน้นเป็นพิเศษที่ระบบกล้ามเนื้อ โครงสร้างกระดูกที่สะท้อนและส่งอิทธิพลถึงภาวะของอวัยวะและระบบอื่นๆ ทั้งหมดของร่างกาย และยังมีวิธีในการวินิจฉัยและรักษาโรคบางอย่างที่เกี่ยวกับกระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น เนื้อเยื่อและข้อกระดูกสันหลัง ด้วยการใช้กายภาพบำบัด การนวด และการลูบคลำเบาๆ ด้วย

มีกระบวนการต่างๆ หลายอย่างที่ใช้รักษาโรคต่างๆ เหล่านี้ การนวดเนื้อเยื่อนุ่ม หรือ soft-tissue mobilization เป็นคำที่ใช้ในการแพทย์แผนออกทีโอพาธี เทคนิคการนวดระบายน้ำเหลืองก็ถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของของเหลวในระบบน้ำเหลืองด้วยเช่นเดียวกัน

การนวดตามแบบแผนของออสทีโอพาธิคอีกสองแบบ คือ การบำบัดด้วยการนวดให้ตึงและต่อต้านความตึง หรือสเตรน-เคาน์เทอร์สเตรน เธราพี(Strain-Counterstrain Therapy) กับการนวดกะโหลกศีรษะ หรือ Cranio Sacral Therapy

การบำบัดแบบตึง-ต่อต้านความตึง หรือสเตรน-เคาน์เทอร์สเตรน เธราพี เป็นการนวดที่พัฒนาขึ้นมาโดยแพทย์แผนออสทีโอพาธี ที่มีชื่อว่า ลอว์เรนซ์ โจนส์(Lawrence Jones) วิธีการนี้เป็นเทคนิคที่เกี่ยวกับประสาท-กล้ามเนื้อ ที่เกี่ยวข้องกับการระบุจุดที่เป็นตัวก่อให้เกิดความตึงและความคลายตัว ที่เรียกว่า จุดทริคเกอร์(trigger) และใช้เทคนิคการนวดเพื่อบรรเทาปวดจากสาเหตุของจุดนี้ ส่วนวิธีการบำบัดรักษาแบบนวดกะโหลกศีรษะ ผู้ที่ค้นพบ คือ นายแพทย์จอห์น อี. อัพเลดเจอร์(John E. Upledger) โดยใช้เทคนิคการนวดที่อ่อนโยนไม่ทำให้ร่างกายบอบช้ำเพื่อรักษาความไม่สมดุลที่รอยต่อของกะโหลกศีรษะซึ่งเป็นระบบทางสรีระระบบหนึ่งในร่างกายมนุษย์

สถาบันแพทย์ศาสตร์แนวออสทีโอพาธีที่ตั้งอยู่ทั่วสหรัฐฯ ตามที่ต่างๆ ในปัจจุบันมีอยู่ 15 แห่ง และคิดว่าจะมีแพทย์แผนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การแพทย์แผนออสทีโอพาธีมีองค์การที่เป็นตัวแทนอยู่ 2 องค์การ คือ American Osteopathic Association และ American Academy of Osteopathy

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า