สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การรักษาอาการป่วยด้วยการสัมผัส

สัมผัสที่ช่วยรักษา(Therapeutic Touch)
เป็นวิธีการที่ได้มาจากเทคนิคโบราณในการ “เอามือวางลง” แม้ว่าผู้ที่รับการสัมผัสจะไม่มีความเชื่อทางศาสนาอยู่ แต่ผู้รักษาก็มีความมุ่งมั่นที่จะใช้มือของตนเพื่อการรักษาอย่างจริงจัง

หลักที่รองรับสัมผัสเพื่อการรักษานี้ จะได้รับการส่งเสริมเมื่อพลังงานหรือพลังชีวิตที่ห้อมล้อมร่างกายอยู่อยู่ในภาวะสมดุล ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อพลังงานนี้อยู่ในภาวะที่ไม่สมดุลก็จะทำให้กระบวนการของโรคแสดงออกมา

ผู้เยียวยาจะเอามือทั้งสองเคลื่อนผ่านร่างกายของผู้ป่วยและสามารถรู้สึกถึงความไม่สมดุลของพลังงานได้ ซึ่งความไม่สมดุลนี้จะปรากฎออกมาเป็นความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนหลายๆ อย่าง เช่น ความรู้สึกร้อน เย็น จักจี้ การเต้น รู้สึกเหมือนกับโดยไฟฟ้าช็อต หรือรู้สึกตึง ฯลฯ

มีความเชื่อของผู้ที่สนับสนุนสัมผัสที่รักษาว่า ไม่ว่าใครก็สามารถจะถูกสอนให้รับสัมผัสและรู้สึกถึงพลังงานที่ระบุชื่อไม่ได้และวัดไม่ได้ที่ล้อมรอบคนทุกคนอยู่ และเมื่อมีความตั้งใจที่เหมาะสมก็จะสามารถกำกับพลังงานในการเยียวยาของตนไปให้กับผู้ป่วยได้ หรือสามารถปรับความสมดุลของพลังงานคนๆ นั้นได้

ตั้งแต่สมัยเมื่อ 15,000 ปีก่อน มีภาพเขียนในถ้ำในเทือกเขาไพเรนีส(Pyrenees) เป็นภาพของคนที่กำลังช่วยคนโดยใช้มือ และมีภาพแบบนี้เช่นกันในภาพแกะสลักจากโบสถ์วิหารเก่าแก่ครั้งโบราณของอียิปต์ อินเดีย ธิเบตและโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิคในยุคกลาง โดยภาพเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่ามีคุณค่ามานานหลายร้อยปีแล้ว

ศิลปะการวางมือนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ “สัมผัสของพระราชา” ในยุคแรกๆ ครั้งก่อตั้งประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะถือว่า สัมผัสของพระราชานั้นใช้รักษาโรคบางอย่างได้

โดโรเรส ครีเกอร์(Dolores Krieger) ศาสตราจารย์ด้านการพยาบาลของมาหวิทยาลัยนิวยอร์ค กับดอร่า คุรซ์(Dora Kunz)นักนั่งทางใน(clairvoyant)ที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ เป็นผู้ที่พัฒนาสัมผัสเพื่อการรักษาในยุคใหม่ขึ้นมา โดยที่ครีเกอร์ได้เติบโตขึ้นในบรูคลิน นิวยอร์ค เมื่ออายุ 20 ต้นๆ ก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนพยาบาล ด้วยความสนใจส่วนตัวจึงชักนำให้เธอศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับศาสนาที่สำคัญๆ ในเวลาต่อมาก็ได้สำรวจเรื่องของ “ผู้ได้รับพรจากสวรรค์มาเป็นพิเศษ” ของทางตะวันออก

ครีเกอร์ได้เข้าร่วมกลุ่มการทำสมาธิ ซึ่งดอร่า คุนซ์ เป็นผู้นำในต้นทศวรรษที่ 1950 ดอร่า คุนซ์จึงได้กลายมาเป็นเพื่อน ผู้ให้คำปรึกษา และในท้ายที่สุดก็เป็นผู้ร่วมคิดเรื่องการสัมผัสเพื่อการเยียวยา คุนซ์ได้ศึกษาเรื่องการวางมือในปลายทศวรรษที่ 1960 ตามที่ “ผู้รักษาความเจ็บป่วย”(healer) ที่มีชื่อเสียงก้องโลก คือ นายพันเอก ออสการ์ เอสเทบานี(Oscar Estebany) ใช้อยู่

คุนซ์ได้เชิญครีเกอร์ มาพบนายพันเอกเอสเทบานี อดีตนายทหารม้า ชาวฮังกาเรียนในวัย 71 ปี ครีเกอร์ได้สังเกตเอสเทบานีอย่างละเอียดในขณะที่เขานั่งอยู่ติดๆ กับผู้ป่วยแต่ละคน แล้วให้เขาเอามือเคลื่อนไปตรงจุดที่เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องได้รับการบำบัดเยียวยา

ครีเกอร์รู้สึกทึ่ง ในขณะที่เธอเฝ้ามองเอสเทบานีตัวลอยขึ้น และดูเหมือนว่าจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บไปอย่างกว้างขวาง และเธอได้เห็นแล้วว่า การสัมผัสด้วยการวางมือเป็นการกระทำอย่างเดียวที่พอจะจับได้ระหว่างผู้รักษากับผู้รับการรักษา

ครีเกอร์ได้พยายามเลียนแบบอย่างที่เอสเทบานีทำ และให้ดอร่า คุนซ์เป็นล่ามคอยบอกว่ารู้สึกอย่างไรกับความพยายามรักษาของเธอจากวิธีการนี้ เนื่องจากเอสเทบานีพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ จากวิธีการนี้ ครีเกอร์กับคุนซ์ก็ได้พัฒนาสิ่งที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า การสัมผัสที่ช่วยรักษา หรือ Therapeutic Touch ขึ้นมา

การศึกษาที่ครีเกอร์ทำกับคนไข้จากการรักษาด้วยวิธีนี้ แสดงให้เห็นว่า ค่าของฮีโมโกลบิน เพิ่มขึ้นมากในภายหลัง เทคนิคของเธอได้ถูกสอนในกับพยาบาลหลายคน และได้ตรวจสอบคนไข้ที่ตนรักษา ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน คือ ค่าของฮีโมโกลบินเพิ่มขึ้น

เมื่อเชื่อว่าสัมผัสเพื่อการรักษาใช้ได้ผลเช่นนี้ เธอจึงได้เปิดการสัมมนาภาคปฏิบัติเกี่ยวกับเทคนิคนี้แก่ผู้ทำงานด้านสุขภาพจำนวนนับพันๆ คน และเธอก็ได้รับอนุญาตให้สอนในหลักสูตรระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ในเรื่องสัมผัสเพื่อการรักษา ในปี ค.ศ. 1976

ในระหว่างที่รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีนี้ผู้รับการบำบัดจะนั่งหรือนอนก็ได้ สามารถอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ได้

ส่วนสำคัญของกระบวนการนี้ คือ ก่อนที่จะสัมผัสผู้รับการบำบัด ผู้ให้การรักษาจะตั้งสติอยู่ในสภาวะการทำสมาธิ และเพ่งสติด้วยความตั้งใจที่จะช่วยหรือรักษาผู้ป่วยอย่างแรงกล้าด้วยความเมตตาสงสารและด้วยแรงจูงใจ

จากนั้นผู้ให้การบำบัดก็จะเข้าถึงสนามพลังงานของผู้รับการบำบัด และส่งพลังงานไปให้ตามที่เหมาะสม มือของผู้ให้การบำบัดจะต้องไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ต่อแรงกดและความรู้สึกอื่นๆ ที่บ่งชี้ถึงจุดที่มีการติดขัดสกัดกั้นพลังงาน ซึ่งทักษะนี้พัฒนาขึ้นได้ด้วยประสบการณ์

เมื่อระบุบริเวณที่มีความไม่สมดุลของพลังงานได้แล้ว ก็เริ่มกระจายพลังงานรอบตัวเสียใหม่เพื่อให้ส่วนต่างๆที่มีการคั่งอยู่ได้ระบาย และเสริมส่วนที่ยังขาดแคลนพลังงานอยู่

วัตถุประสงค์จากการสัมผัสเพื่อการรักษามีประโยชน์เด่นๆ อยู่ 2 ประการคือ ในตัวคนไข้จะเกิดการผ่อนคลายอย่างค่อนข้างลึกซึ้งขึ้น และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ดีมาก

ผู้ให้การบำบัดเป็นเพียงผู้เร่งกระบวนการรักษาตัวเองของคนไข้ด้วยการให้พลังงานช่วยไปจนกว่าระบบการฟื้นตัวของคนไข้จะเข้ามารับช่วงต่อไป แต่ตัวคนไข้นั่นเองที่รักษาตัวเองให้หายป่วย และสามารถนำมาเป็นเทคนิคใช้ในการรักษาตัวเองได้ด้วย

นอกจากหนังสือที่ดีเยี่ยมเรื่อง Therapeutic Touch: How to Use Your Hands to Heal ของดร.โดโรเรส ครีเกอร์ แล้ว ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งของ แจเน็ต แม็คแคร(Janet Macrae) มีชื่อเรื่องว่า Therapeutic Touch: A Practical Guide ส่วนข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อขอได้จากสมาคมพยาบาลผู้รักษาอาชีพ หรือสมาคมพยาบาลแผนองค์รวมอเมริกัน ตามที่อยู่ดังนี้
Nurse Healers-Professional
Association
175 Fifth Avenye, Suite 2755,
New York NY 10010,
USA.

American Holistic Nurses
Association
4101 Lake Boone Trail,
Raleigh, NC 27607,
USA.

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า