การบำบัดด้วยโคลนเพื่อรักษาโรค

การบำบัดด้วยโคลน(Mud Therapy)
ผู้ค้นพบคุณสมบัติในการเยียวยารักษาโรคด้วยโคลน เป็นชาวกรีกโบราณ

ตามสถานที่ตากอากาศที่ให้บริการด้านน้ำทะเลบำบัดอยู่แล้วก็มักจะมีการบริการการบำบัดด้วยโคลนรวมอยู่ด้วย โดยโรคที่ใช้โคลนรักษาจะเป็นประเภทเดียวกันกับที่ใช้น้ำทะเลรักษา จึงมีการรักษาในทั้งสองรูปแบบนี้ควบคู่กันอยู่เสมอ แต่ในบางตำราก็กล่าวว่า ตามสถานบำรุงสุขภาพทั้งหลายอาจจะไม่ได้ใช้โคลนที่มาจากธรรมชาติที่มีคุณภาพเหมือนกันเสมอไป

โคลนมีหลายชนิดต่างๆ กัน แล้วแต่สารบำรุงสุขภาพที่มีอยู่ในพืชและดินที่สั่งสมกันมานานนับร้อยๆ ปีในบริเวณที่เป็นแหล่งโคลน ซึ่งโคลนคุณภาพ จะเป็นโคลนที่มีแร่ธาตุและสารที่ได้จากพืชละลายอยู่ โคลนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดว่าเป็นแหล่งโคลนคุณภาพ อยู่ที่เมืองเนียดฮาร์ตติง ประเทศออสเตรีย ว่ากันว่าโคลนที่นี่มีสารปฏิชีวนะธรรมชาติรวมอยู่ด้วย และยังมีวิตามิน แร่ธาตุ สารอินทรีย์ที่มีประโยชน์อื่นๆ ในปริมาณมาก ซึ่งที่นี่จะมีสถานบำรุงสุขภาพด้วยโคลนตั้งเพื่อให้บริการอยู่

แอ่งโคลนที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งที่สามารถดึงดูดให้คนลงไปแช่ เป็นโคลนน้ำร้อน อยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งมีชื่อเสียงมานานร่วมร้อยปีแล้ว และเป็นที่เล่าขานกันว่า ผู้ที่เป็นโรครูมาติซึมและข้ออักเสบก็สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้อย่างชะงัดนัก ในการรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลในนิวซีแลนด์ก็ใช้โคลนจากที่นี่ด้วยเหมือนกัน

การใช้โคลนพอกร่างกายด้วยวิธีการบำบัดเยียวยาอาการป่วยโดยใช้โคลนนี้ บริเวณใบหน้าคือส่วนที่นิยมทำกันมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกายแม้แต่ศีรษะและเส้นผม

การแก้ไขอาการป่วยด้วยโคลนบำบัดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าแก้ได้อย่างไร มีแต่เพียงทฤษฎีที่ว่าสารที่อยู่ในโคลนและมีประโยชน์นั้นน่าจะซึมผ่านผิวหนังและเข้าไปสู่กระแสเลือดที่อยู่ทั่วร่างกาย และในส่วนของใยประสาทที่อยู่ชั้นนอกๆ ของผิวหนังก็ยังอาจได้รับการกระตุ้นจึงทำให้เกิดประโยชน์ต่อระบบประสาททั้งหมด

โคลนที่แห้งติดอยู่กับผิวหนังยังช่วยเพิ่มการชำระล้างผิวหนังของร่างกายให้สะอาด และทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ การหมุนเวียนโลหิตดียิ่งขึ้น และช่วยในการขับเหงื่อให้กับร่างกายด้วย คุณสมบัติของการใช้โคลนบำบัดจึงคล้ายๆ กับการได้ออกกำลังกาย

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา