สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

กายภาพบำบัด(Physical Therapy)

เป็นการช่วยให้ฟื้นตัวจากผลกระทบที่มีต้นเหตุมาจากความบาดเจ็บ การผ่าตัด หรือเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งกายกายภาพบำบัดถือเป็นวิชาชีพการบำรุงรักษาสุขภาพอย่างหนึ่ง และเคยถูกเรียกขานว่าเป็น “ศิลาฤกษ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพ” ด้วยบทบาทของมัน

ประวัติของกายภาพบำบัดมีมาอย่างยาวนานและเต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงการสร้างวิหารบูชาสุริยเทพในชาวอียิปต์โบราณ และอำนาจการเยียวยารักษาโรคของดวงอาทิตย์ ชาวอินคาในเปรูก็ใช้แสงแดดช่วยปรับปรุงสุขภาพ ตั้งแต่สมัย 3000 ปีก่อนคริสตกาล กงฟู(Kong-Fu) แพทย์สมัยโบราณของจีนก็เคยเขียนถึงคุณค่าของการนวดและการออกกำลังกายไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งเช่นกัน

ชาวโรมันบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการประคบด้วยขี้ผึ้งร้อนๆ และเป็นพวกแรกที่ใช้วิธีการบำบัดรักษาโดยใช้น้ำหรือวารีบำบัด การรักษาอาการอัมพาตเนื่องจากบาดแผลของสงครามและบรรเทาความเจ็บปวดของคนชราก็ได้นำเอาการออกกำลังกายใต้น้ำในลำธารอุ่นๆ มาใช้ มีทั้งภาชนะบรรจุน้ำร้อน ทรายร้อนๆ หรือถ่าน ที่ชาวกรีกและโรมันใช้สำหรับอังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

การแพทย์ในเขตที่ชาวอาหรับมีอิทธิพลอยู่ก็ยังดำเนินต่อไปในช่วงที่ยุโรปอยู่ในยุคมืด และมีรายงานผลของการออกกำลังกายในแง่ของการช่วยรักษาโรคและรักษาสุขอนามัยของนักเขียนชาวตะวันออกกลาง 2 คน ในสมัยศตวรรษที่ 16 และ 17 อังกฤษมีผลงานชิ้นสำคัญๆ หลายชิ้นที่ยกย่องคุณค่าของการนวดและการออกกำลังกายว่ามีประโยชน์ในการช่วยรักษาโรคได้ และมีแพทย์ชาวเยอรมันและฝรั่งเศสเขียนเล่าในตอนกลางศตวรรษที่ 19 ว่า การนวดช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้มีสุขภาพดี

บิดาของพลศึกษาในยุโรป เพอ เฮนดริค ลิงก์(Per Hendrik Ling) ชาวสวีเดน ได้แสดงให้เห็นประจักษ์ว่า การออกกำลังกายที่ถูกต้องจะสามารถแก้ไขเยียวยาความบกพร่องผิดปกติของร่างกายและรักษาโรคได้ ในปี ค.ศ.1813 เขาได้ก่อตั้งสถาบันเพื่อการนวดและการออกกำลังกายเพื่อการแก้ไข(Central Institute of massage and Corrective Exercise) ขึ้นในสต็อคโฮล์ม และได้สร้างสระว่ายน้ำขึ้นในยุโรปเป็นสระแรกด้วย

นอกจากการทำงานของนักกายภาพบำบัดที่อยู่ตามโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็มีมากกว่า 60%ของทั้งหมดที่ทำงานอยู่ตามสถานกายภาพบำบัดของเอกชน ศูนย์สุขภาพชุมชน ศูนย์สุขภาพของบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรม สนามกีฬา สถาบันวิจัย ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์ดูแลเด็ก โรงเรียน วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วย

ปกติแล้วคนเราจะไปหานักกายภาพบำบัดตามวัตถุประสงค์ที่แพทย์สั่ง โดยที่นักกายภาพบำบัดสามารถทดสอบหาระดับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อและโครงสร้างส่วนกระดูกของผู้ป่วยได้ โดยอาจใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อนหลายอย่างเพื่อให้รู้ถึงพลกำลังของกล้ามเนื้อ และพิสัยการเคลื่อนไหวที่แตกต่างจากคนปกติได้ สำหรับกรณีที่มีปัญหาเรื่องท่าทรงตัว หรือมีปัญหาที่สภาวะความเกี่ยวข้องกันระหว่างโครงกระดูกกับเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่มก็จะมีอุปกรณ์ต่างหากอีกชิ้นหนึ่ง หรืออาจนำเอาวิธีการทดสอบด้วยไฟฟ้า ที่เรียกว่า อีเล็คโทรนิวโรไมโอกราฟฟี(Electroneuromyography)มาใช้ประเมินสภาพของประสาทและกล้ามเนื้อก็ได้

นักกายภาพบำบัดยังมีการตรวจคนไข้ด้วยสายตา และโดยใช้มือทดสอบการเคลื่อนไหวของข้อต่อ พิสัยการเคลื่อนไหว การใช้มือคลำตรวจโครงสร้างส่วนกระดูก เพื่อดูความเบี่ยงเบนไปจากปกติของท่าการทรงตัว และตรวจเพื่อหาสภาพผิดปกติของโครงสร้างเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่มด้วย

นักกายภาพบำบัดจะวินิจฉัยและกำหนดโปรแกรมการทำกายภาพบำบัดเพื่อจัดการกับปัญหาหลังจากที่ได้วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจสอบด้วยวิธีต่างๆ แล้ว

การทำกายภาพบำบัดตามโปรแกรมนั้นจะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยการออกกำลังกายเพื่อแก้ไขสภาพ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้น ใช้น้ำ ใช้ความร้อน ใช้เครื่องดึง ใช้อัลตราซาวนด์ ใช้น้ำแข็ง ใช้การนวด หรือดัด

เป้าหมายของกายภาพบำบัด คือ ช่วยให้ร่างกายเยียวยารักษาตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ กายภาพบำบัดบางแบบจะช่วยเพิ่มกำลัง ช่วยลดการบวม ช่วยบรรเทาปวด หรือฟื้นฟูให้เคลื่อนไหวได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังช่วยในการฝึกหัดให้ทำกิจกรรมประจำวันใหม่ในผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ เช่น การเดิน การแต่งตัว การอาบน้ำ เป็นต้น

นักกายภาพบำบัดจะสอนให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความสำคัญของสภาพร่างกายที่สมบูรณ์กระฉับกระเฉง และแสดงให้เห็นว่า จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บในระหว่างการทำงานหรือการเล่นกีฬาได้อย่างไร ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บมาก็ร่วมกันพยายามทำให้สภาพความบาดเจ็บนั้นทรงตัว ไม่เลวร้ายลงไป หรือป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นอีกในอนาคต

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า