๑. โดยการเผา ใช้เมื่อต้องการทำลายภาชนะที่เปรอะเปื้อนหรือเกรงว่าถ้านำมาใช้อีกจะเป็นปัญหาทางการติดเชื้อ บางครั้งก็ใช้ในห้องปฏิบัติการทางจุลชีววิทยา
๒. ใช้ตู้อบความร้อน (Hot Air Oven) ตู้เหล่านี้มีกรรมวิธีทำให้ความร้อนและอากาศภายในตู้หมุนเวียนอยู่เสมอ อุณหภูมิที่ใช้ประมาณ ๑๖๐°ซ. เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ซึ่งสามารถทำลายเชื้อและสปอร์ (spore)ได้ วิธีนี้ใช้กันไม่มากนัก เพราะความร้อนที่สูงระดับนี้มักจะทำลายสิ่งของที่นำไปอบแต่ใช้ได้กับสิ่งต่อไปนี้
ก. เครื่องแก้วทนความร้อน
ข. เครื่องมือที่เป็นโลหะ
ค. แป้งผง
ง. นำมันบางอย่าง
๓. โดยการต้ม ตัวแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อราจะตายเมื่อนำไปต้มในน้ำเดือด เพราะส่วนใหญ่จะไม่สามารถทนความร้อนที่อุณหภูมิ ๗๐°ซ. มากกว่า ๕ นาทีได้ แต่สปอร์ของแบคทีเรีย ซึ่งทนความร้อนได้มากกว่าจะไม่ตายไปทั้งหมด วิธีนี้ใช้กันมากตามสถานพยาบาลเล็ก ๆ เพราะโอกาสที่จะได้พบแบคทีเรียชนิดร้ายแรงที่มีสปอร์นั้นน้อยมาก และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การต้มนี้ทำลายเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดตับอักเสบได้ สิ่งสำคัญบางประการเกี่ยวกับการต้ม คือ
ก. ภาชนะที่นำไปต้มไม่ควรเปรอะเปื้อนน้ำมันหรือสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ
ข. ไม่ควรมีอากาศค้างอยู่ในภาชนะที่ต้ม
ค. ของมีคมจะทื่อถ้าต้มบ่อย ๆ
ง. ควรต้มเป็นเวลาอย่างน้อย ๓๐ นาที เวลาที่ใช้ต้มนี้จะลดเป็น ๑๕ นาทีได้ถ้าเติมโซเดียมคาร์บอเนท (๒ ส่วนในน้ำ ๑๐๐ ส่วน) แต่ว่ามีข้อเสียเพราะสารนี้กัดเครื่องแล้วและเครื่องยาง นอกจากนี้ยังเปื้อนเครื่องมือที่นำไปต้ม จึงจำเป็นต้องเอาไปล้างออกอีกหนหนึ่งก่อนจะนำไปใช้ได้
จ. ถ้าต้องการทำลายสปอร์ก็ควรต้มติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๆ ละ ๒๐-๓๐ นาที (Tyndallisation) แต่จะได้ผลก็ต่อเมื่อสปอร์นั้นอยู่ในภาวะที่พร้อมที่จะเจริญเป็นตัวแบคทีเรียได้เท่านั้น
๔. Pasteurisation แต่เดิมเป็นวิธีที่ใช้ทำลายแบคทีเรียในเหล้าองุ่นและในนมสด โดยอุ่นให้ได้อุณหภูมิ ๖๓°ซ. เป็นเวลา ๓๐ นาที หรือ ๗๒°ซ. เป็นเวลา ๒๐ วินาที (อาจใช้อุณหภูมิตั้งแต่ ๖๐°-๘๐°ซ. โดยใช้เวลา ๖๐ นาที ที่อุณหภูมิ ๖๐°ซ. หรือค่อย ๆ ลดลงมาเหลือเพียง ๑ วินาทีที่อุณหภูมิ ๘๐°ซ.) วิธีนี้สามารถทำลายเชื้อไวรัสส่วนใหญ่อีกทั้งเชื้อราและแบคทีเรียแต่ไม่ทำอันตรายสปอร์ สำหรับทางการแพทย์นั้นก็ใช้อุณหภูมิประมาณ ๖๕°ซ. เป็นเวลา ๑๐ ถึง ๓๐ นาทีแล้วแต่ชนิดของภาชนะหรือเครื่องมือที่นำมาฆ่าเชื้อ เครื่องสำหรับกรรมวิธีนี้มีหลายแบบ มีทั้งที่สร้างขึ้นมาเฉพาะงาน เช่นใช้ล้างชามหรือล้างหม้อนอนอย่างเดียว และมีทั้งที่ใช้กับงานหลาย ๆอย่างได้ นอกจากนี้แล้วเครื่องเหล่านี้ยังมีทั้งที่ใช้น้ำร้อนหรือใช้ไอน้ำเป็นตัวนำความร้อน ตัวอย่างเช่นเครื่องล้างชามใช้น้ำร้อนเป็นเวลา ๑๐ นาที ที่ ๖๖°ซ. หรือ ๑ นาที ที่ ๘๒°ซ. ตู้อบไอน้ำใช้อุณหภูมิ ๗๐°ซ. เป็นเวลา ๑๕ นาที หรือ ๘๐°ซ. เป็นเวลา ๕ นาที
๕. โดยการอบไอน้ำ (Autoclave) วิธีนี้ได้ผลดีกว่าการใช้ตู้อบความร้อนธรรมดาหรือการต้ม เพราะนอกจากไอน้ำเองมีอุณหภูมิสูงแล้ว เมื่อกลายเป็นหยดน้ำก็ยังสามารถคายความร้อนแฝงได้อีกด้วย และอีกประการหนึ่งเมื่อไอน้ำแปรสภาพเป็นหยดน้ำปริมาตรก็ลดลงทำให้เกิดสูญญากาศดึงดูดไอน้ำรอบข้างเข้ามาอีกทำให้มีไอน้ำหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา เป็นผลให้อุณหภูมิของภาชนะที่นำไปอบสูงอยู่เสมอ ไอน้ำที่ใช้นี้ไม่ควรมีอากาศปนมาด้วยเพราะจะทำให้อุณหภูมิของไอน้ำต่ำลง และไม่ควรจะชื้นมากเพราะหยดน้ำที่ติดมาจะไปเกาะผิวของภาชนะทำให้ไอน้ำเข้าไม่ถึง อีกประการหนึ่งอุณหภูมิของไอน้ำก็ไม่ควรสูงกว่าจุดที่ไอน้ำจะกลายเป็นน้ำมากเกินไป เพราะจะกินเวลานานกว่าจะคายความร้อนแฝง
อุณหภูมิของไอน้ำที่ได้มาจากน้ำเดือดธรรมดานั้นยังไม่สูงพอที่จะทำลายสปอร์ทั้งหมดของแบคทีเรียได้ จึงมีความจำเป็นต้องทำให้ไอน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยเพิ่มความกดของบรรยากาศ (ซึ่งจะทำให้น้ำเดือดในอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ) เช่น ถ้าเพิ่มความกดเป็น ๑๕ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว น้ำเดือดที่ ๑๒๑ °ซ. หรือใช้ความกด ๓๐ ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว น้ำจะเดือดที่ ๑๓๔°ซ. เป็นต้น ตู้อบไอน้ำที่ใช้กันนั้นมักเป็นโลหะแข็งแรง มีช่องทางให้ไอน้ำที่อุณหภูมิสูงและความกดสูงเข้ามาและมีช่องอากาศซึ่งถูกไอน้ำเข้ามาแทนที่ออกไปได้ บางตู้ก็มีเครื่องดูดอากาศดูดอากาศออกจากตู้ร่วมอยู่ด้วย ระยะเวลาอบนั้น เริ่มนับตั้งแต่เมื่ออุณหภูมิของตู้อบไอน้ำสูงถึงขีดที่ต้องการเช่น ๒๐ นาที ที่ ๑๒๑°ซ. หรือ ๑๐ นาที ที่ ๑๒๖°ซ. เป็นต้น การอบด้วยไอน้ำนี้ใช้ได้กับผ้าพันแผล เสื้อผ้าต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องมือโลหะ น้ำยาและน้ำมัน
เพื่อที่จะให้ได้ผลดีที่สุด ผู้ใช้ตู้อบไอน้ำควรจะคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
วิธีการจัดภาชนะในตู้ ควรจะวางไว้โดยให้ไอน้ำมีทางผ่านได้ตลอดจากบนลงล่างเช่นถ้าเป็นวัสดุแบนก็ควรจะตะแคงข้างขึ้น ชั้นล่างก็ควรจะมีรูหรือเป็นตะแกรง
การจัดภาชนะที่นำเอาไปอบ ควรจัดให้ไอน้ำเข้าไปได้รอบด้านและเข้าถึงข้างในสุด ถ้าเป็นผ้าก็ควรพับไว้หลวม ๆ ห่อเครื่องมือก็ไม่ควรจะใหญ่เกินไป (ไม่เกิน ๑๒-๑๘ นิ้ว) ท่อยางไม่ควรพับหรืองอ เครื่องมือที่มีล็อคหรือฝาควรเปิดอ้าไว้ ผ้าที่ใช้ห่อภาชนะก็ควรจะเป็นผ้าลินินซึ่งไอน้ำผ่านได้ เครื่องมือไม่ควรเปื้อนน้ำมัน ถ้าจะอบน้ำยาหรือน้ำมันก็ไม่ควรจะอบร่วมกับภาชนะอื่น ๆ เพราะจะทำให้ภาชนะอื่น ๆ เปรอะเปื้อน
การเอาของออกจากตู้ เมื่อหมดเวลาอบควรตั้งรอทิ้งไว้ให้ภาชนะเย็นลงก่อนจะเปิดเอาออก เพราถ้าเอาออกเมื่อยังร้อนภาชนะจะชื้นเมื่อมาถูกอากาศเย็นข้างนอกทำให้เปื้อนได้ เมื่อเอาออกจากตู้แล้วก็ควรจะผึ่งไว้ให้แห้งก่อนจะนำมาใช้
สภาพของตู้อบ ควรได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่เสียได้บ่อยก็มีเรื่องไอน้ำรั่ว หม้อกรองน้ำไม่ทำงาน เป็นต้น
การทดสอบประสิทธิภาพของตู้อบ ต้องทำอยู่เป็นระยะสม่ำเสมอวิธีใช้ทดสอบก็มี เช่น
ก. ใช้เทป ที่มีความไวต่อความร้อนติดไว้บนภาชนะ หรือห่อเครื่องมือ เทปนี้จะเปลี่ยนสีเมื่ออุณหภูมิสูงถึงขีดที่ต้องการ
ข. ใช้ Browne’s tube ซึ่งเป็นหลอดน้ำยาที่เปลี่ยนสีไปเมื่ออุณหภูมิสูง ใส่ร่วมไปกับภาชนะที่นำไปอบ วิธีนี้ต้องลงทุนสูงกว่าวิธีแรก
ค. ใช้ Thermo-couple วัดอุณหภูมิจากที่วางภาชนะภายในตู้โดยตรงเท่าที่ทราบวิธีนี้ยังไม่ใช้กันในประเทศไทย
ทุกวิธีดังที่กล่าวมาแล้ว บอกเพียงว่าภาชนะที่นำไปอบในตู้ได้รับความร้อนดังที่ต้องการ แต่ไม่ได้บอกว่าของเหล่านี้ปราศจากเชื้อแบคทีเรีย ถ้าต้องการทราบก็ต้องใช้หลอดที่ใส่สปอร์ของ B. Stearothermophilus ซึ่งไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ไปอบร่วมกับภาชนะแล้วนำไปเพาะเชื้ออีกทีหนึ่ง เมื่ออบแล้วสปอร์เหล่านี้จะถูกทำลายภายใน ๒๐ นาที ที่อุณหภูมิ ๑๒๐°ซ. แต่วิธีนี้ค่อนข้างจะลำบากเพราะเตรียมเชื้อแบคทีเรียได้ยากและการวัดผลก็ยาก จึงไม่ค่อยจะมีผู้นิยมใช้กัน
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าการใช้ความร้อนทำลายเชื้อแบคทีเรียนั้นยังเป็นวิธีถูกที่สุดและให้ผลแน่นอนที่สุด