สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่กำลังดังอย่างมากในปัจจุบันนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเดือนกันยายนเป็นเดือนที่คนไทยรู้จักกับโรคไข้หวัดใหญ่อย่างดีที่สุด ประมาณเอาว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้  เป็นสถิติของการระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งทีเดียว  การระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่เคยทำสถิติไว้นั้น ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ กล่าวกันว่าการระบาดครั้งนั้นเกือบจะไม่มีผู้ใดรอดพ้นจากการเป็นไข้หวัดใหญ่เลย  จะแตกต่างก็อยู่ที่เพียงเป็นมากหรือน้อยเท่านั้นเอง

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดประจำ มักเกิดในฤดูฝนหรือระยะที่อากาศเปลี่ยนแปลงมากกว่าฤดูอื่น  เนื่องจากโรคนี้ติดต่อกันได้อย่างง่ายดาย  โรคจึงยังคงอยู่ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน  ทำความเดือดร้อนให้กับคนทั้งหลายทุกชาติทุกภาษาทั่วโลก  อาจจะพูดได้อย่างไม่ผิดข้อเท็จจริงนักได้ว่า มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ต้องล้มป่วยลงด้วยไข้หวัดใหญ่ในชั่วชีวิตของแต่ละคน อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง บางคนเป็นอยู่ได้ทุกปี บางคนซ้ำร้ายหนักขึ้นโดยเป็นไข้หวัดใหญ่ปีหนึ่งหลายๆ ครั้ง

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยจะเริ่มตั้งแต่เมื่อใดนั้นขอไม่กล่าวในที่นี้  เพราะหลักฐานที่จะนำมากล่าวออกจะเลื่อนลอย  แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าประเทศไทยเรามีการระบาด่ของโรคไข้หวัดใหญ่ไม่น้อยหน้ากว่าประเทศอื่นอยู่เหมือนกัน  การระบาดที่มีอยู่ประจำทุกปีนั้น  บางปีก็มีผู้เจ็บป่วยกันมาก  แต่บางปีก็มีไม่มากนัก ไม่มีอะไรแน่นอน  สำหรับปี พ.ศ.๒๕๑๕ นี้ รู้สึกว่าเป็นการระบาดที่หนักมากอีกครั้งหนึ่ง  เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ผู้ป่วยไม่ถึงกับล้มหมอนนอนโรงพยาบาล  การรวบรวมสถิติตัวเลขเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคนี้จึงยากเย็นและหาความแน่นอนไม่ได้ จึงใคร่ใช้วิธีการคำนวณโดยอิงหลักความจริง อาศัยจำนวนผู้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข คลีนิคแพทย์ทั่ว ๆ ไป ฯลฯ และจากการสอบถามประชาชนแบบสุ่มตัวอย่าง ถึงการเจ็บไข้เนื่องจากโรคนี้ของสมาชิกในครอบครัวแต่ละครอบครัว ผลของการคำนวณอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าว พอประมาณได้ว่า  เฉพาะในเขตเทศบาลนครหลวงซึ่งมีประชากรมากกว่า ๓ ล้านคนเล็กน้อย  จะมีผู้ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ประมาณ ๑ ใน ๓ หรือกล่าวอย่างหยาบ ๆ ว่าประมาณ ๑ ล้านคน

เมื่อลองคิดแบบนักเศรษฐกิจที่ไม่มีปริญญาเพื่อเป็นแนวความคิดสืบต่อไป  ผู้ที่ล้มป่วยลงด้วยไข้หวัดใหญ่มาแล้วในปีนี้ ๑ ล้านคนนั้น  แต่ละคนอาจจะเป็นมากบ้างน้อยบ้าง  ถึงจะเป็นน้อยไม่ต้องไปหาแพทย์ ก็เชื่อว่าคงจะต้องซื้อยารับประทานเองเป็นแน่ บางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง อาจจะป่วยด้วยโรคนี้มากกว่า ๑ ครั้งก็ได้ จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า  ได้เคยพบเด็กรายหนึ่งป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ถึง ๔ ครั้ง ใน ๑ เดือน พอหายอยู่ ๒ วันก็เป็นอีก อย่างนี้ก็มี และคำนวณต่อไปถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของการป่วยแต่ละครั้ง คิดถัวเฉลี่ยแพงบ้างถูกบ้าง (บางรายที่รักษาฟรีแต่ทางรัฐหรือเทศบาลต้องเสียค่ายา จึงต้องคิดเป็นค่ารักษาด้วยเหมือนกัน) ประมาณเอาว่าการรักษาไข้หวัดใหญ่แต่ละครั้งสิ้นค่าใช้จ่าย ๒๐ บาท  เมื่อคิดจากยอดผู้ป่วยทั้งหมด ๑ ล้านคน หมายความว่ามีการสูญเปล่า เพราะโรคนี้ในชั่วระยะเวลาเดียวถึง ๒๐ ล้านบาท  แต่นักเศรษฐกิจคงจะไม่ยอมยุติง่าย ๆถึงค่าใช้จ่าย  ยังต้องคิดต่อไปถึงความสูญเปล่าจากการหยุดงาน หรือหยุดปฏิบัติภารกิจประจำวัน ถัวเฉลี่ยก็คงจะไม่ต่ำกว่ารายละ ๒๐ บาท รวมเป็น ๒๐ ล้านบาทอีก เมื่อคิดรวมทั้งหมด ความสนูญเปล่าเฉพาะในเขตเทศบาลนครหลวงก็คงไม่น้อยกว่า ๔๐ ล้านบาท (ใครจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับการคำนวณแบบนี้ ก็สุดแต่จะคิดเถิด) สำหรับความเสียหายที่ยากต่อการประเมินเป็นเงินตรา ก็คือความเป็นห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกที่กำลังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่  หรือความห่วงใยที่ญาติพี่น้องผู้รักใคร่สนิทสนมมีต่อกันและกัน  ความห่วงใยนี้เป็นผลทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอาจจะผิดพลาดหรือลดน้อยถอยลงได้  ซึ่งก็มีผลทำให้เกิดการสูญเปล่าอยู่อีกไม่น้อย

จึงขอรวบรัดว่า เฉพาะในเขตเทศบาลนครหลวง มีประชากร ๓ ล้านคนเศษ เพราะไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้ทำให้เกิดการเสียหายคิดเป็นเงินตราได้กว่า ๔๐ ล้านบาท  ถ้าหากทั้งประเทศไทยความเสียหายไข้หวัดใหญ่ระบาดเพียงครั้งเดียว ประเทสไทยต้องสูญเสียนับเป็นจำนวนเงินหลายร้อยล้านบาททีเดียว

การที่ได้พยายามคำนวณเป็นค่าเงินตราดังที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น  ก็เพื่อจะเน้นให้เห็นว่า  โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีความสำคัญต่อการสาธารณสุขเป็นอย่างมาก อย่าคิดว่าเป็นโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาที่ไม่ถึงกับทำให้ตายได้ง่าย ๆ เหมือนโรคติดต่ออันตรายอื่น ๆ เช่น อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ โรคไข้เลือดออก ฯลฯ แต่บรรดาโรคเหล่านั้นไม่มีความน่ากลัวในเรื่องการระบาดเท่าเทียมกับไข้หวัดใหญ่เลยแม้แต่น้อย  เพราะการติดต่อของโรคเป็นไปไม่ได้ง่ายเท่ากับการติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่นั่นเอง

เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่นั้น เป็นเชื้อไวรัสขนาดเล็ก มีความเล็กมากขนาดไม่สามารถจะมองเห็นด้วยกล้องจุลทัศน์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ต้องอาศัยกล้องจุลทัศน์แบบพิเศษทำด้วยไฟฟ้าจึงจะสามารถมองเห็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ เชื้อไข้หวัดใหญ่นี้ได้มีการศึกษาในวงการแพทย์อย่างละเอียดมาพอสมควรเริ่มตั้งแต่ประมาณ ๖๐ ปี มาแล้ว  เมื่อมีการระบาดใหญ่เกิดขึ้นทั่วโลก ในครั้งกระนั้นเรื่องหยูกยายังไม่ค่อยจะทันสมัยพอกับโรค จึงทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นอย่างมาก  วงการแพทย์จึงเริ่มตื่นตัวเอาใจใส่กับโรคนี้มากขึ้นทันทีเป็นพิเศษ  มีศูนย์ปฏิบัติงานเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่  โดยเฉพาะอยู่ในโลกนี้หลายแห่ง  ได้มีการศึกษาถึงเรื่องราวของเชื้อไวรัสและคิดค้นวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้อย่างจริงจัง  ศูนย์ปฏิบัติงานเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากขณะนี้มีอยู่ ๒ แห่ง คือมีมหานครลอนดอนประเทศอังกฤษ และที่นครแอตแลนต้า มลรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา  ทั้งสองแห่งนี้ต่างก็ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่อย่างกว้างขวาง เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากคนไทยระยะนี้ ก็ได้ส่งไปยังศูนย์ปฏิบัติการทั้งสองแห่งนี้ เพื่อศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ แล้วเหมือนกัน

การที่ได้นำเรื่องโรคไข้หวัดใหญ่มาเสนอต่อท่านครั้งนี้ทั้ง ๆ ที่การระบาดใหญ่ได้ผ่านไปแล้วนั้น อย่าคิดว่าเป็นการเอาเรื่องไม่ทันสมัยมาเสนอต่อท่าน  เพราะความจริงแล้วไข้หวัดใหญ่ยังคงอยู่  และจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ได้อีกตลอดไป  เพราะเชื้อไวรัสนี้ไม่มีทางสูญหายได้อย่างแน่นอนในระยะเวลา ๑๐๐ ปี ข้างหน้า การค้นคว้ายาสำหรับทำลายเชื้อไวรัส ตลอดจนวัคซีนต่อต้านไข้หวัดใหญ่ให้หมดพิษสงอย่างราบคาบนั้น เชื่อว่าอีกไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี จึงจะพบได้ ด้วยเหตุนี้เรื่องไข้หวัดใหญ่ยังจะต้องเป็นปัญหาอีกต่อไป  แม้ขณะนี้เองการระบาดของโรคก็ยังมิได้ยุติ  แต่ระยะของการระบาดที่สูงสุดนั้นอาจจะผ่านไปแล้ว  ผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแล้วจะไม่เป็นอีกผู้ใหญ่ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ  ไม่เป็นโรคนี้แน่ ไข้หวัดใหญ่จะไม่เว้นให้แก่ผู้ใดเลย  ถ้าหากว่าผู้นั้นร่างกายไม่แข็งแรงและไม่มีความต้านทานดรคไข้หวัดใหญ่อย่างเพียงพอ

โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดนี้ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่ายังไม่จบสิ้นง่าย ๆ ฉะนั้นจึงควรที่จะได้มีความรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่เอาไว้บ้าง  จากการวิจัยของศูนย์ปฏิบัติงานเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ที่มหานครลอนดอนและนครแอตแลนต้า  ซึ่งทางการไทยส่งตัวอย่างเชื้อไปให้วิเคราะห์นั้น ผลปรากฎออกมาแล้วว่า ตัวเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังแผลงฤทธิ์อยู่นี้เป็นตัวใหม่  แตกต่างจากต้นตระกูลเดิมไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งหลายไปบ้าง  ตัวใหม่นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า “เอ/อิงแลนด์” สำหรับเชื้อตัวเดิมที่ครองความเป็นเจ้าในบรรดาเชื้อไข้หวัดใหญ่ของเมืองไทย คือ เชื้อ “เอ/ฮ่องกง” เมื่อพูดถึงตอนนี้เห็นจะต้องขยายความอีกสักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวไวรัสไข้หวัดใหญ่ ต้นกำเนิดจริง ๆแล้วมีอยู่ ๒ ตัว คือชนิดเอและชนิดบี  แต่ละชนิดก็มีลูกหลานเหลนแยกแขนงออกไปอีกหลาย ๆ ชนิด รวมความแล้วว่าต้นตระกูลของเชื้อไข้หวัดใหญ่เดิมมีอยู่ ๒ ตัว จากการศึกษาพบว่าปัจจุบันนี้มีอยู่หลายสิบตัว และตัวใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ย่อมจะเกิดได้อีก อาจจะมีผู้สงสัยว่ามันเกิดได้อย่างไร เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและมิให้ท่านรู้สึกยุ่งยากสมองจนเกินไป  ก็ขอกล่าวสั้น ๆ ว่า ภาวะแวดล้อมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการทำให้เชื้อไข้หวัดใหญ่แปรเปลี่ยนจากชนิดเดิมไปเป็นชนิดใหม่ได้

เชื้อไข้หวัดใหญ่ เอ/อิงแลนด์นี้ มีความรุนแรงในตัวของมันมากกว่าบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก  จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่แล้วต้องล้มหมอนนอนเสื่อเกือบทุกคนไป  การที่เชื้อไข้หวัดใหญ่ เอ/อิงแลนด์เข้ามามีบทบาทในครั้งนี้ มิใช่อิทธิพลของใต้ฝุ่นเอลซี่หรือฟลอสซี่  หรือใต้ฝุ่นชื่อเพราะ ๆ แต่อย่างใด  จากการสืบสาวราวเรื่องปรากฎว่า เชื้อตัวนี้ได้เริ่มต้นระบาดในประเทศอินเดียตอนใต้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และมันค่อย ๆ กระจายออกไปยังเพื่อนบ้าน จนกระทั่งมีการระบาดใหญ่ในบ้านเราถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกันคนในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลียก็ประสบกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่เชื้อตัวเดียวกันนี้พร้อม ๆ กับประเทศเรา เนื่องจากการคมนาคมระหว่างประเทศสมัยปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกมาก  หากไม่มีการสกัดกั้นอย่างดี แล้วเชื่อว่าการระบาดอาจจะเกิดทั่วทั้งโลกก็ได้

การติดต่อระหว่างผู้ป่วยกับคนดีนั้นไม่ยากสักนิดเดียว  การอยู่ใกล้ชิด การใช้ภาชนะสิ่งของร่วมกัน การหายใจรดกัน การไอ การจาม เป็นวิธีแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย บางคนมีร่างกายแข็งแรงดี  มีความต้านทานโรคดี แต่ได้รับเชื้อเข้าไป แม้ตัวเองจะไม่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่  ก็ยังสามารถที่จะเอาเชื้อที่มีอยู่ในตัวนั้นแจกจ่ายให้คนอื่นได้อีกด้วย  ฉะนั้นการป้องกันโรคนี้จึงยากมาก  เพราะคนที่ไม่เป็นอะไรก็สามารถแพร่โรคได้  นักการสาธารณสุขทั้งหลายจึงต้องพยายามชักจูงให้คนทุกคนมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง  เมื่อเชื้อโรคเข้าไปในตัวก็จะไม่สามารถทำอันตรายได้ ข้อแนะนำในการเสริมสุขภาพให้แข็งแรงพึงปฏิบัติดังนี้

๑.  พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ อย่าตากฝนหรือให้ร่างกายกระทบกับความเย็นจัด หรือความร้อนจัดจนเกินไป เวลานอนควรสวมเสื้อหรือห่มผ้าตามสมควร

๒.  พักผ่อนหลับนอนให้มากที่สุดเท่าที่ร่างกายต้องการ

๓.  รับประทานอาหารดีมีประโยชน์  อาหารประเภทผักผลไม้ซึ่งมีวิตามินซีมาก  จะช่วยให้ร่างกายมีความต้านทานโรคดียิ่งขึ้นหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่บั่นทอนสุขภาพ เช่น พวกเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย

๔.  ควรออกกำลังกายพอสมควร  และให้ร่างกายได้ถูกแสงแดดอ่อน ๆ บ้าง

๕.  ไม่ควรอยู่ในที่แออัดยัดเยียดผู้คนหนาแน่น หากเว้นจากการเข้าโรงมหรสพสักระยะหนึ่ง  ก็จะเป็นประโยชน์ แก่ตนเอง เพราะในที่มีผู้คนแออัดยัดเยียดนั้น ย่อมเชื่อได้ว่าจะต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งสามารถแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ได้เสมอ

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้และบังเอิญรับเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าไป ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงปราศจากการต่อต้านตามธรรมชาติ ประมาณว่า ๑-๓ วัน ภายหลังที่เชื้อเข้าไปในตัวตนเองจะเกิดอาการไข้มีอาการตัวร้อนจัด ความร้อนสูงตลอดวัน มักจะปวดศีรษะมาก โดยเฉพาะหน้าผากและกระบอกตา น้ำมูกน้ำตาไหล เจ็บคอ ไอ จาม ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการไข้ถ้าดไม่ได้รักบารรักษาจะคงอยู่ได้หลายวัน  และจะมีโรคแทรกได้ง่ายมาก  โรคแทรกมักเป็นกับเด็กเล็ก ๆ เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หูน้ำหนวก สมองอักเสบ เด็กเล็กบางคนมีอาการชักกระตุกเพราะไข้สูงก็ได้ เมื่อเกิดป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มีข้อแนะนำพึงปฏิบัติดังนี้

๑.  นอนพักผ่อนให้มากที่สุด  ควรอยู่ในห้องที่มีอากาศโปร่งถ่ายเทสะดวก

๒.  รับประทานอาหารดีมีประโยชน์  ควรเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย  และไม่ควรเป็นอาหารที่เย็นจัด

๓.  หากมีอาการไอ จาม หรือจะต้องบ้วนน้ำลาย เสมหะ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

๔.  เสื้อผ้าที่สวมใส่ ควรเปลี่ยนและรีบทำความสะอาดเป็นประจำ

๕.  เพื่อให้โรคหายเร็วที่สุดและเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด  ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาหรือขอคำแนะนำ

๖.  ขอแนะนำเป็นพิเศษสำหรับผุ้ที่ขยันทั้งหลาย  ได้แก่ ขยันทำงาน ขยันไปโรงเรียนทั้ง ๆ ที่กำลังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อย่างแรงอยู่ ข้อแนะนำก็คือ ควรหยุดทำงาน หยุดไปโรงเรียนเสียชั่วคราวจนกว่าจะหายเป็นปกติ  การที่หยุดทำงานหรือหยุดเรียนนี้  นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง  หายเจ็บป่วยได้เร็วแล้ว  ยังเป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมงานหรือร่วมโรงเรียนที่จะไม่ต้องมารับเชื้อไข้หวัดใหญ่อีกด้วย

เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคนี้ ความจริงแล้วได้มีการผลิตและใช้กันมานาน โดยเฉพาะในประเทศทางยุโรปและอเมริกา  วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นิยมใช้กันมากพอสมควร แต่ในบ้านเราค่อนข้างจะไม่แพร่หลาย เนื่องจากราคาวัคซีนแพงไปสักหน่อย และคนไทยก็มักจะคิดว่าโรคนี้เป็นไม่กี่วันก็หายได้เอง ซื้อยารักษาจะถูกกว่าค่าวัคซีนเสียด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ตาม วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่มีขายในท้องตลาดในปัจจุบันนี้  เอามาใช้สำหรับป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่ล่าสุด  เชื้อเอ/อิงแลนด์ไม่ได้ผล  เพราะวัคซีนเป็นคนละพันธุ์ กับชนิดใหม่จึงป้องกันไม่ได้ แต่ต่อไปเชื่อว่าบริษัทผลิตวัคซีนคงจะเอาเชื้อเอ/อิงแลนด์มาทำเป็นวัคซีนเป็นแน่

โรคไข้หวัดใหญ่อย่าคิดว่าเป็นโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะได้เรียนไว้ตอนต้นแล้วว่า สมัยก่อนผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องล้มหายตายจากไปเสียมากต่อมาก เพราะยาไม่ดีพอ แต่สมัยนี้เรามียาดีแล้ว และแพทย์ก็มีอยู่มากมายถมเถไป  ควรจะใช้ประโยชน์จากแพทย์และยาที่ทันสมัยให้ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับชีวิตของตนเองเป็นอันดับแรก  และยังไม่เป็นตัวกระจายโรคไปสู่ผู้อื่นอีกด้วย  พึงระลึกไว้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่หากเกิดกับเด็กมีอันตรายมากกว่าเกิดกับผู้ใหญ่มาก เพราะเด็กมีความต้านทานโรคไม่ดีพอเท่าผู้ใหญ่นั่นเอง เด็กที่สงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่นั้นควรได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ทุกราย เพราะนอกจากไข้หวัดใหญ่แล้วยังมีโรคอื่นที่อาจจะมีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น ไข้เลือดออก หัด หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ฯลฯ แต่ละโรคเป็นอันตรายต่อชีวิตเด็กได้อย่างมาก  ถ้าประเมินคิดว่าอาการที่เด็กเจ็บป่วยนั้นเป็นอาการของไข้หวัดใหญ่อย่างเดียว ก็จะยิ่งเป็นคราวเคราะห์ของเด็กมากขึ้น

การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่นี้ หลักใหญ่ก็คือต้องการให้ร่างกายได้พักผ่อนและรักษาตัวเอง เพราะยาปฏิชีวนะต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้  แต่จำเป็นต้องรับประทานเพื่อป้องกันมิให้มีโรคอื่นมาแทรกซ้อน ฉะนั้นจึงขอย้ำในเรื่องการพักผ่อน  การรับประทานอาหารดีมีประโยชน์มากเป็นพิเศษ ร่างกายคนเราจะผลิตภูมิต้านทานโรค สามารถทำลายเชื้อได้เอง  และภูมิต้านทานนี้จะคงทนอยู่ระยะหนึ่ง สามารถป้องกันมิให้ไข้กลับได้อีกด้วย แต่ถ้าบังเอิญไปรับเอาเชื้อไข้หวัดใหญ่พันธุ์อื่น แตกต่างจากที่เคยเป็น ก็จะเกิดโรคได้อีกเหมือนกัน

ขอย้อนถึงการสูญเสียทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง ไข้หวัดใหญ่นี้ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียปีละหลายร้อยล้านบาท  ถ้าหากทุกคนเอาใจใส่ในสุขภาพอนามัยของตน  โอกาสที่เราจะเสียเปล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย

,

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า