สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

โรคพยาธิตัวตืดในลำไส้

พยาธิตัวตืดในลำไส้ที่พบในประเทศไทยและมีปัญหาคือ Taenia saginata (ตืดวัว) และ Taenia solium (ตืดหมู) พยาธิตัวแก่อยู่ในลำไส้โดย scolex เกาะติดกับผนังลำไส้เล็ก พยาธิตัวยาวประมาณ 2-7 เมตร คนเป็นโรคนี้ได้โดยการกิน cysticercus ที่อยู่ในเนื้อวัวหรือเนื้อหมู

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีอาการ อาจมาหาแพทย์เพราะมีปล้องพยาธิออกมาทางทวารหนัก อาการที่พบได้คือ น้ำหนักลดทั้งๆ ที่กินได้มาก หิวบ่อย ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หงุดหงิด

การวินิจฉัย
การตรวจปล้องพยาธิ (gravid proglottid) จะมีประโยชนในการแยกว่าเป็นพยาธิตืดวัวหรือพยาธิตืดหมู โดยฉีดสีเข้า uterus แล้วนับ main lateral branch ตืดหมูจะมีข้างละ 7-13 อัน ส่วนตืดวัวมี 15-20 อัน ส่วนการตรวจพบไข่ในอุจจาระนั้นจะแยกระหว่างไข่ของตืดวัวและตืดหมูไม่ได้

ยาที่ใช้รักษาพยาธิตัวตืดในลำไส้คือ

1. Niclosamide ยานี้ทำให้พยาธิตัวตืดตาย โดยมีการสลายของ scolex อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยมีการสลายของส่วนอื่นๆ ขนาดยาที่ใช้คือ 2 กรัมครั้งเดียว โดยเคี้ยวยาให้ละเอียด แล้วจึงกลืน ควรกินยาขณะท้องว่าง ได้ผลหายแทบทุกราย ข้อเสียของยาพบได้น้อย และไม่รุนแรง

ในกรณีที่เป็นพยาธิตืดหมู การให้ยา niclosamide มีปัญหาว่าเสี่ยงต่อการเกิด cysticercosis หรือไม่ เนื่องจากยานี้ทำให้ปล้องพยาธิสลาย อาจทำให้พยาธิตัวอ่อนจากไข่เจาะทะลุเยื่อเมือกบุลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่สมอง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังโดยให้ยากันอาเจียนก่อนให้ยาขับพยาธิ และให้ยาถ่ายหลังให้ยาขับพยาธิไปแล้ว

2. Mebendazole ใช้รักษาโรคพยาธิตัวตืดในลำไส้ได้ผล โดยใช้ยาขนาด 400 มก.ต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน

3. Praziguantel ใช้ในขนาด 5-10 มก./กก.ครั้งเดียว ยานี้ไม่ทำให้ ปล้องพยาธิสลายตัว

พยาธิตัวตืดอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย และมีปัญหาในการรักษาให้หาย คือ Hymenolepis nana เนื่องจากพยาธิตัวแก่อยู่ในรูลำไส้ และตัวอ่อนอยู่ในผนังลำไส้ การใช้ niclosamide ได้ผลในการรักษาโรคพยาธินี้ แต่ต้องให้ยานานเป็นเวลาถึง 7 วัน เนื่องจากยานี้ไม่เข้าสู่เซลส์ของลำไส้ จึงต้องใช้ยาจนกระทั่งพยาธิออกมาจากผนังลำไส้การใช้ยา praziquantel รักษาพยาธิ H.nana ได้ผลเช่นเดียวกับ
niclosamide แต่ให้ยาเพียงครั้งเดียวในขนาด 15-20 มก./กก.

การที่จะบอกว่าผู้ป่วยหายจากโรคพยาธิตัวตืดในลำไส้แล้วนั้น ต้องอาศัยการสังเกตปล้องพยาธิที่หลุดออกมากับอุจจาระ และตรวจหาไข่พยาธิในอุจจาระซึ่งต้องไม่พบ หลังให้การรักษาแล้วเป็นเวลา 3 เดือน

โรคพยาธิลำไส้เป็นโรคที่มีความสำคัญ กล่าวคือ ทำให้สุขภาพของประชาชนเลวลง มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และทำให้มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติอย่างใหญ่หลวง การรักษาเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมโรค ซึ่งต้องควบคู่กันไปกับการป้องกันโรค โดยปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้ มีทัศนคติ และปฏิบัติตนในด้านการรักษา สุขวิทยาส่วนบุคคล อุปนิสัยการกิน และการถ่ายอุจจาระ ร่วมกับมีการพัฒนาการสาธารณสุขของชาติ

ที่มา:พรรณทิพย์  ฉายากุล

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า