สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การบำบัดเยียวยาโดยใช้หลักการของพลังที่ตรงกันข้าม หรือโพลาริตี้ เธราพี(Polarity Therapy)

เป็นระบบที่รักษาอาการป่วยด้วยการสร้างสมดุลให้กับพลังงานชีวิตของร่างกายที่อยู่ในแนวของธรรมชาติ นับเป็นวิธีการดูแลรักษาสุขภาพที่มีลักษณะเป็นองค์รวมและสมบูรณ์ วิธีการนี้จะประสานรวมเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การนวด และการสร้างความตระหนักรู้ถึงตัวเองเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นวิธีการบำรุงรักษาสุขภาพที่เรียบง่ายครอบคลุมรอบด้าน

ผู้พัฒนาหลักการเรื่องการบำบัดเยียวยาแบบพลังสองขั้วนี้ขึ้นมา คือ แรนดอล์ฟ สโตน(Rando;ph Stone) เขาเกิดในออสเตรีย ในปี 1903 ได้อพยพไปอยู่สหรัฐฯ และไปตั้งรกรากอยู่ที่ชิคาโก

ดร.สโตน ได้ศึกษาระบบการเยียวยาตามแบบธรรมชาติทุกอย่างที่มีอยู่นับตั้งแต่ยุคต้นๆ มาแล้ว โดยเขาได้รับปริญญาแพทย์ในสาขาไคโรแพร็คทิค ออสทีโอพาธี และแนชเชอโรพาธี

ดร.สโตน เกิดความหมกมุ่นครุ่นคิดกับปัญหาที่ลึกซึ้งเรื่องสุขภาพและความเจ็บไข้ได้ป่วยจากการค้นคว้าเรื่องขนบประเพณีของทางตะวันตกอย่างกว้างขวาง เขาอยากรู้ว่าทำไมคนบางคนจึงมีความโน้มเอียงไปหาโรคบางประเภท และมีปัจจัยอะไรที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเจ็บไข้ได้ป่วยและรักษาความสบายดีเอาไว้ได้

ดร.สโตน เกิดความสนใจกับวิธีการเยียวยาในแบบตะวันออกหลังจากที่เดินทางไปศึกษาระบบการเยียวยาแผนโบราณของวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างกว้างขวาง โดยจากประเทศจีนและญี่ปุ่นเขาได้การฝังเข็ม สมุนไพร และการนวดแบบชิอัตสึ มา จากตะวันออกกลางก็ได้ระบบเฮอร์เมติค(Hermetic) หรือการตัดขาดจากโลกภายนอก และระบบคาบาลิสติค(Cabalistic) หรือคาถาอาคม มา และจากประเทศอินเดียก็ได้หลักการอายุรเวทและโยคะมา

ดร.สโตนได้ผสมผสานแง่มุมของทางตะวันออกและตะวันตก เพื่อสร้างเป็นระบบใหม่ที่พิเศษขึ้นมา เรียกว่า โพลาริตี้ โดยเขาได้ใช้ความรู้ที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ มารวมเข้ากับแรงบันดาลใจและการหยังรู้ของเขาเอง

เขาได้วางหลักฐานการพื้นฐานของระบบใหม่อย่างคร่าวๆ ในปี ค.ศ.1948 ในหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า Energy: The Vital Principle in the Healing Art(พลังงาน: หลักการสำคัญในศิลปะการเยียวยา) และได้พัฒนาหลักการเยียวยาแบบโพลาริตี้ต่อไปอีกหลายปี ซึ่งในขณะที่เปิดรับรักษาเป็นการส่วนตัวนั้นก็ได้สอนผู้ทำงานด้านสุขภาพคนอื่นๆ ไปด้วย

ดร.สโตนได้วางมือจากการรักษา ในปี ค.ศ.1973 และได้แต่งตั้งลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อ ปิแอร์ แพนเนเทียร์(Pierre Pannetier)ขึ้นมาทำงานแทน แพนเนเทียร์ ได้เดินทางไปทั่วสหรัฐฯ และแคนาดา เพื่อเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลและนำเสนอการสัมมนาเรื่องโพลาริตี้หลังจากที่เข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำของขบวนการการบำบัดโดยใช้หลักโพลาริตี้ หรือหลักของพลังตรงกันข้ามแล้ว หลังการมรณกรรมของ ดร.สโตนเพียง 2 ปีเท่านั้น แพนเนเทียร์ก็ได้ถึงแก่กรรมลงในปี 1984

ระบบการสร้างสมดุลของพลังงานแบบโพลาริตี้ ถือว่า สนามพลังงานและกระแสพลังงานจะมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในธรรมชาติ การไหลเวียนอย่างเสรีและความสมดุลของพลังงานนี้ในร่างกายมนุษย์จึงเป็นรากฐานของสุขภาพที่ดี

มีแนวคิดที่คล้ายๆ กันอยู่ในวัฒนธรรมอื่นๆ เหมือนกันเกี่ยวกับพลังชีวิต หรือพลังงานที่อ้างไว้ในหลักการเยียวยาแบบโพลาริตี้ หรือหลักของพลังที่ตรงกันข้าม ซึ่งพลังนี้มีชื่อเรียกว่า ชี ในจีนและญี่ปุ่น เรียกว่า “ปราน” ในอินเดีย ในการวิจัยด้านจิตของรัสเซีย ก็เรียกว่า “ไบโอ พลาสมิค”(bioplasmic) และวิลเฮล์ม ไรค์ เรียกว่า พลังงาน “ออร์กอน”(orgone)

วิธีการบำบัดเยียวยา โดยหลักโพลาริตี้ถือว่า พลังงานมีสถานะเป็นบวก(+) ลบ(-) หรือไม่ก็เป็นกลาง(0) และไม่มีการถือว่าพลังงานไหนดีหรือเลว แต่จะพิจารณาเพียงว่า พลังเหล่านี้ถูกขัดขวางหรือว่าไหลเวียนอย่างเสรีภายในร่างกาย

ดร.สโตนสอนว่า ล้วนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างร่างกาย ความคิดจิตใจ อารมณ์และจิตวิญญาณ ซึ่งแต่ละคนก็ต้องรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเอง และเพื่อจัดการกับปัญหาที่มีสาเหตุมาจากการปิดกั้นขัดขวางการเดินทางของพลังงานในร่างกายจิตใจ ในการบำบัดผู้ให้การบำบัดและลูกค้าจะต้องมีการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น

มีวิธีการบำบัดรักษาที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน 4 วิธีในการเยียวยาแบบโพลาริตี้ คือ การนวด การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการตระหนักรู้ถึงตัวตนของตนเอง

การนวด ตามแบบโพลาริตี้ มิได้เป็นการนวดแบบที่กระทำต่อกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หรือกระดูกเหมือนการนวดทั่วไป แต่เป็นการนวดที่ผู้ให้การบำบัดใช้มือในเชิงสัมผัสต่าง หรือติดต่อกับร่างกายของลูกค้า

ผู้ให้การบำบัด จะวางมือลงที่จุดที่กำหนดให้สองจุดซึ่งเป็นศูนย์กลางของพลังงานบนร่างกายลูกค้า ที่มีประจุบวกจุดหนึ่ง และมีประจุลบจุดหนึ่ง ส่วนมือของผู้ให้การบำบัดนั้นมือซ้ายมีประจุบวก และมือขวามีประจุลบ และวางสลับประจุกันระหว่างของผู้บำบัดกับผู้รับการบำบัด

มือของผู้ให้การบำบัดมิได้ให้พลังงาน แต่จะจัดทิศทางการไหลเวียนของพลังงานของผู้รับการบำบัดเสียใหม่ และผู้รับการบำบัดก็จะเติมประจุให้กับตัวเองใหม่ด้วยพลังงานของตัวเองที่ได้รับการปลดปล่อยให้เห็นอิสระแล้ว

เมื่อพลังงานมีความสมดุลเกิดขึ้นระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบ ความเป็นกลางก็จะแสดงออกมาให้เห็นในสภาพที่เป็นกลาง พลังงานระหว่างสองจุดจะสมดุลและจะได้รับประจุพลังใหม่ ทำให้มีการสร้างการไหลเวียนอย่างเสรีขึ้นมาได้ใหม่ เป็นผลให้เกิดความประสานกลมกลืนกัน โดยจะรับรู้ถึงมันได้ในรูปของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

การควบคุมอาหาร มีอยู่ 2 แบบ คือแบบระยะสั้น และแบบระยะยาว วัตถุประสงค์ของการควบคุมอาหารในระยะสั้นก็เพื่อชำระล้างหรือฟอกร่างกายภายในให้บริสุทธิ์ ส่วนวัตถุประสงค์ของการควบคุมอาหารในระยะยาวก็เพื่อการบำรุงรักษาซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดี มีความสบายที่สุด

การออกกำลังกาย เป็นการใช้ท่าโยคะเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถทำได้เอง เพื่อสร้างการผ่อนคลายและความสมดุล

การตระหนักรู้ตัวเอง ของหลักโพลาริตี้ หมายถึง การที่บุคคลจะเรียนรู้ทำความเข้าใจกับแหล่งที่ทำให้เกิดความเครียด และค้นพบหนทางที่จะบำรุงสุขภาพของตนเองด้วยตนเอง

ในหนังสือ 3 เล่ม ของดร.สโตน จะรวบรวมงานสำคัญๆ ทุกชิ้นเอาไว้ ซึ่งหนังสือนี้มีชื่อเรื่องว่า Polarity Therapy I(โพลาริตี้ เธราพี เล่ม 1) Polarity Therapy II(โพลาริตี้ เธราพี เล่ม 2) และเล่มที่ 3 มีชื่อว่า Health Building: The Conscious Art of Living Well(การสร้างสุขภาพ: ศิลปะการดำเนินชีวิตที่ดีอย่างมีจิตสำนึก)

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า