สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

หลักปฏิบัติของแมคโครไบโอติก

จอร์จ โอซาว่า ได้ให้หลักในการปฏิบัติของแมคโครไบโอติก เพื่อเป็นแนวทางให้มนุษย์ ได้ไปถึงเป้าหมายคือมีสุขภาพดี มีความสุข และมีอิสระ เสรีภาพ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

ความศรัทธา

จอร์จ โอซาว่า กล่าวเอาไว้ว่าความศรัทธานั้นไมใช่ลัทธิหรือศาสนา หากแต่เป็น การเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงระเบียบของจักรวาล ล้วนเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวและลวงตาทั้งภายในและภายนอก มีความรักและการโอบกอดทุกสิ่งด้วยความไม่เห็นแก่ตัว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือความศรัทธา

ความศรัทธาที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ความเชื่ออย่างงมงายหรือผิวเผิน หรือการถือโชคถือลาง มันเป็นความเข้าใจอย่างชัดแจ้งถึงเอกภพ หมายถึงจักรวาลอันไม่สิ้นสุด และปรากฏการณ์ที่ปรากฏทั้งหมด รวมทั้งตัวเราเองก็เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของเอกภพด้วย

เริ่มจากการเคลื่อนไหว เป็นเกลียวจากความว่างเปล่า แล้วผ่านทะลุพลังงานหยิน-หยาง อนุภาค ธาตุต่างๆ พืชและสัตว์ เเต่ละขั้นคือการเปลี่ยนแปลงของก่อนหน้านั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวเป็นเกลียวอย่างต่อเนื่อง สร้างแสงสว่าง อากาศ นํ้า และอาหารอยู่รอบๆ ตัวเรา ซี่งเราจะต้องดื่มกินในรอบเขตนั้นๆ เพื่อทำให้เรามีสุขภาพดี

แมคโครไบโอติกเปิดเผยให้เห็นระเบียบของอาหารที่มีเหตุผล มันก็ย่อมมีเหตุผลที่จะต้องดื่มกินตามระเบียบนั้นๆ หากมีอาการที่แย่ลงอาจเนื่องมาจากการขับพิษหรือส่วนเกินต่างๆ ออกจากร่างกาย เซลล์ร่างกายกำลังต่อต้านของเหลวระหว่างเซลล์ อย่างใหม่ หรือปฏิบัติตัวยังไม่ถูกต้อง หากปราศจากความศรัทธาที่ถูกต้อง เราอาจจะเฉไฉการกิน อย่างไร้จุดหมาย ยิ่งทำให้เกิดความสับสนขึ้นไปอีก แต่ด้วยความศรัทธาที่ถูกต้อง เราจะมีความมั่นคงในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แม้สภาวะร่างกายจะเลวลงชั่วครั้ง ชั่วคราว

อย่างไรก็ดีแม้แต่ ความศรัทธาในแมคโครไบโอติกก็จะต้องต่างกันอย่างชัดเจนกับความดื้อด้านหรือความตายตัว หากว่า อาการของคนๆ นั้นเลวลงตลอดเวลา ก็ต้องกลับมาพิจารณาว่าการใช้แมคโครไบโอติก ของเขาไม่ถูกต้อง ต้องปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้ที่สูงกว่า หรือปฏิบัติมานานกว่า อาจเกิดจากการกินอาหารไม่กว้างพอ โดยทฤษฏีแล้ว เซลล์เม็ดเลือดแดงจะเปลี่ยนทุกสามเดือน เมื่อเราเริ่มกินอาหารแมคโครไบโอดิก เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีสุขภาพสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็วมาก คนส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจในระยะเวลาสามเดือนแรก หลังจากนั้นอาการ จะ ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยากขึ้น อาจจะทรุดหนักลงเป็นครั้งคราว เพราะว่าภายหลังจาก เซลล์เม็ดเลือดแดงมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็จะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของของเหลวระหว่างเซลล์ขึ้น ซึ่งจะนำสารอาหารต่างๆ เข้าไปในเซลล์ร่างกาย

เซลล์ร่างกายนั้นมีลักษณะที่มีด้านหน้า และด้านหลัง ด้านหนึ่งนั้นมีแนวโน้มที่จะคงที่ และอีกด้านมีความสามารถที่จะปรับตัวได้ เซลล์ ร่างกายของคนส่วนใหญ่ที่เริ่มกินอาหารแมคโครไบโอติกจะอ่อนแอในการปรับตัว เพราะมันคงตัวเกินไป ซึ่งตรงกันข้ามกับเซลล์เม็ดเลือดแดงและของเหลวระหว่างเซลล์ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ได้ง่ายกว่า ดังนั้นเซลล์ของร่างกายจึงต่อต้านของเหลวระหว่างเซลล์อย่างใหม่ และด้วยการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้เอง ตามปกติจะทำให้เกิดอาการทรุดลงหลังกินอาหารแมคโครไบโอติกได้ สี่เดือนถึงหนึ่งปี

ความกตัญญูกตเวที ชื่นชมยินดีต่อทุกๆ สิ่ง แม้แต่ความลำบาก

แมคโครไบโอติกไม่ใช่เพียงแต่เป็นวิธีหนึ่งของการรักษาโรค ไม่ใช่เรื่องอาหาร ที่กินเฉพาะข้าวกล้อง หรือการเลือกกินอาหารที่อร่อยๆ ความคิดเหล่านี้ห่างไกลจากความจริง อย่างมากมาย แต่มันเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในระเบียบของธรรมชาติ เราต้องแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อทุกๆ สิ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพราะความคิดเช่นนี้เป็นการปลดปล่อยให้ความสุขและเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง

คนเราส่วนมากไร้ความสำนึกบุญคุณ จำได้เเต่เฉพาะสิ่งที่เคยให้ได้ แต่ลืมในสิ่งที่เคยได้รับ แล้วก็บ่นว่าการมีชีวิตเช่นนี้คือการอยู่อย่างไร้ความสุข ไร้ความพอใจ และมีชีวิตที่ไร้เสรีภาพ เราลืมสนิทไปเลยว่าเราได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งอากาศ แสงสว่าง นํ้าและอาหารฟรีอย่างไม่มีเงื่อนไขผูกมัดนับตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ ลืมแม้กระทั่งความรัก ความโอบอ้อมอารี และความอดทนอย่างไม่สิ้นสุดของแม่ผู้ให้ชีวิต

แมคโครไบโอติกเน้นให้แสดงความกตัญญูต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ข้าวหนึ่งเมล็ด ซุปหนึ่งถ้วย ขนมปังหนึ่งแผ่น รวมถึงความเจ็บปวด โรคภัยไข้เจ็บ ความเกลียดชัง ความไม่อดทน ให้ตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นครูเรา จะทำให้เรามองเห็นความโง่เขลาของตัวเอง มองเห็นความอคติ มองเห็นความไม่อดกลั้น แสดงความกีดกั้นตัวของเราเอง เมื่อเราซาบซึ้งได้เช่นนี้ เราก็สามารถพัฒนาปัญญาของเราสู่ขั้นสูงสุดอันเป็นจุดประสงค์ของจักรวาลอันไม่สิ้นสุด ไร้ขอบเขต จะส่งผลให้เราซาบซึ้ง กตัญญูต่อทุกสิ่ง ทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่ตัวเราไม่อาจที่จะรับรู้ได้ด้วย

ในธรรมชาตินั้นสัตว์และพืชให้มากกว่ารับนับเป็นพันๆ เท่า ข้าวหนึ่งเมล็ดให้กับดินให้คืนเป็นพันเมล็ด ปลาเพศเมียให้ไข่นับพันล้านฟอง นั่นคือกฎธรรมชาติของชีวภาพ พ่อแม่ได้ให้ชีวิตเรา จงดูแลท่านอย่างไม่สิ้นสุด แม้เมื่อท่านได้ล่วงลับไปแล้ว จงช่วยเหลือพ่อแม่ของผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม นี่เป็นแนวคิดทางตะวันออก ซึ่งมากกว่าการชำระหนี้บุญคุณที่มากมาย ทำให้เรารู้ถึงความเป็นเอกภาพคือความเบิกบานใจในการแจกจ่ายความสุข เสรีภาพตลอดกาลอย่างไม่มีขอบเขต

 ศิลปะของการใช้ชีวิต

แมคโครไบโอติกไมใช่ศาสตร์ที่มีจุดหมายในการสั่งสมความรู้ความรู้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันสามารถนำเราไปสู่ความสุขและมีสุขภาพดี ศาสตร์สมัยใหม่จะทำการวิเคราะห์แล้ว ก็สร้างทฤษฎีต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งล้วนแต่จะหาความจริงเด็ดขาดในโลกแห่งการเปรียบเทียบนี้ และเกือบไม่มีความเกี่ยวพันอะไรเลยกับความสุขและสุขภาพ ตรงกันข้าม แมคโครไบโอติกเป็น ศิลปะของชีวิต ด้วยตระหนักรู้ว่าไม่มีกฎตายตัวใดๆ ที่ดำรงอยู่ได้ หรือสามารถให้ทำตามได้ตลอดกาล จึงเริ่มด้วยหลักการซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาที่เราอาศัยอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ดังนั้นจึงมีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นศิลปินผู้จะวาดภาพ ชีวิตของตัวเอง แมคโครไบโอติกเมื่อเข้าใจแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่กฎเคร่งครัดตายตัว และไม่ใช่การเลียนเเบบ แต่บางทีก็จำเป็นที่จะต้องมีแนวทางกว้างๆ สำหรับคนส่วนมากที่ต้องการจะเริ่มต้นตามวิถีชีวิตแมคโครไบโอติก แต่เมื่อทดลองก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้หลักหยิน-หยาง ความสามารถในการดำเนินวิถีชีวิตของตนเองอย่างน่าสนใจ น่าตื่นเต้น และสนุกสนาน เท่าที่ปรารถนา

มนุษย์เราคือผู้โดยสารบนรถไฟด่วนที่มีชื่อว่าโลก ในการเดินทางอันจำกัด ของเราหน้าที่ของเราผู้โดยสารคือต้องทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความสนุกสนานเบิกบานให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ และแมคโครไบโอดิกคือศิลปะในการทำเช่นนี้

ในโรงเรียนเราได้รับการสอน ให้ท่องจำข้อเท็จจริงและข้อมูลต่างๆ ดังนั้นวิจารณญาณของเราจึงมีพื้นฐานอยู่บนข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้แล้วนั้นซึ่งมีความจำกัดอยู่มากมาย เมื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ส่วนใหญ่ข้อมูลที่ท่องจำมาก็ไม่เพียงพอและสับสนในการที่จะนำเราไปสู่ความสุขกว่าได้ มีแต่วิจารณญาณที่ดีกว่า สูงกว่าซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์ประจำวันของเราเท่านั้นที่สามารถนำเราไปสู่การปัญหาประจำวันของเราได้ โดยเฉพาะเรื่องการกินดื่ม ว่าควรจะกินดื่มอะไรในปริมาณเท่าไร ซึ่งในความเป็นจริงในแต่ละบุคคลนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล กิจกรรมประจำวัน ดินฟ้าอากาศที่อยู่อาศัย เป็นต้น

เพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครที่จะกิน อาหารอย่างเดียวกันในปริมาณเท่ากัน และร่างกายจะตอบสนองได้เหมือนกัน แมคโครไบโอติกทำให้เรามีความเป็นเอกเทศ ทำให้รู้ว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง และกำลังสร้างสรรค์ชีวิต ได้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ระหว่างที่อยู่ในครรภ์เราสร้างมันสมอง กระเพาะอาหาร ตับ ไต แขน ขา และในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลังจากคลอดออกมาเราก็ปรับปรุงการทำงานของร่างกายเราสามารถที่จะหาทางขจัดความยุ่งยากทุกอย่างได้ แมคโครไบโอติกสอนหนทาง เช่นว่านั้นโดยผ่านการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ ให้สร้างสรรค์ความงามทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ในสังคมสมัยใหม่ ศิลปินเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่ทว่าวิถีการดำเนินชีวิตแบบแมคโคร ไบโอติกเปลี่ยนคนทุกคนให้เป็นศิลปินของชีวิต และเริ่มสร้างสรรค์ชีวิตให้มุ่งไปสู่ความงามและสุขภาพที่สูงขึ้นด้วยตัวเอง ดังนั้นแมคโครไบโอติกจึงเป็นศิลปะในการดำเนินวิถีชีวิตที่ร่าเริงสนุกสนาน มีความสุข เสรีภาพ มีพลานามัยสมบูรณ์ มีพื้นฐานอยู่ที่การตระหนักรู้ว่า มีแต่ตัวของเราเท่านั้นที่เป็นนายของตัวเอง ไม่ใช่แบคทีเรีย ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่รัฐมนตรี นักปราชญ์ หรือนักโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ไม่ใช่แมคโครไบโอติก

สำนึกลำดับขั้นของธรรมชาติ

เมื่อเราตระหนักถึงสัจธรรมอย่างไม่ลำเอียงและเด็ดขาดของธรรมชาติ เราจะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องวิตกกังวลในชีวิต เมื่อมีปัญญารู้ในกฎของธรรมชาติแล้ว จะทำให้เราปล่อยวาง จึงทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความสุข อิสรภาพ แล้วเราก็ต้องเผื่อแผ่ในสิ่งที่เรารู้และความสุขนั้น ให้แก่ทุกคน ชีวิตของเรามันเป็นเกมอย่างหนึ่ง ไม่เห็นจะเป็นไรหากว่าเราจะล้มเหลวหรือ ประสบความสำเร็จ อย่าถือเอาประสบการณ์ชีวิตเป็นเรื่องจริงจังเกินไป มันเป็นเพียงบททดสอบ และประสบการณ์ที่ฝันไปเท่านั้น จงใช้ชีวิตให้อยู่ในความยินดีปรีดาตลอดเวลา ความเข้าใจเช่น คือนิพพาน ความสงบชั่วนิรันดร์ หากคุณรู้เห็นเช่นนี้ด้วยปัญญาขั้นสูงแล้ว คุณก็เป็นชาวแมคโครไบโอติกไม่ว่าคุณจะกินอะไร

5.นิเวศวิทยา

ร่างกายกับแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว แผ่นดินให้กำเนิดแก่พืชซึ่งถูกกินโดยสัตว์ และ สัตว์เปลี่ยนมันไปเป็นเลือด เป็นเซลล์ เป็นอวัยวะต่างๆ มนุษย์เองก็เปลี่ยนแปลงมาจากดินเช่นกัน อเลกซิส คาร์เรย์ เขียนไว้ในหนังสือ มนุษย์ สิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กล่าวได้ว่ามนุษย์ทำมาจากดิน ของโลก ด้วยเหตุนี้กิจกรรมทั้งทางร่างกายและจิตใจของเขาจึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของดินที่เขาอาศัยอยู่ จากลักษณะของสัตว์และของพืชที่เขากินเข้าไป มนุษย์จะแข็งแรงสมบูรณ์หากเขาดำรงชีวิตได้ด้วยผลิตผลจากสภาพแวดล้อมใกล้ๆ ตัวเขา หรือที่ดีที่สุดก็คือปลูกอาหารด้วยตนเอง มนุษย์เป็นสัตว์ที่เสรีที่สุด สามารถปรับตัวให้เข้ากับดินฟ้าอากาศ ได้เกือบทุกสภาพ ดังนั้นหากต้องการให้สุขภาพแข็งแรงก็ต้องกินอาหารที่ปลูกในท้องถิ่นที่ตน อาศัยอยู่หลักเศรษฐศาสตร์ของชีวิต

มนุษย์สมัยใหม่ ผู้มองเห็นว่าเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความสุขของเขา ต่างเน้นในเรื่องเศรษฐกิจการเงิน อันเป็นผลให้คนเป็นอันมากรักษาเงินไว้ได้ แต่ต้องสูญเสียชีวิต เงินนำความสุขมาให้เราได้บ้าง ด้วยการสามารถทำให้เราสนองความต้องการพื้นฐานบางประการ แต่เมื่อเรามีสิ่งที่สนองความต้องการเช่นนั้นแล้ว แต่ยังคงแสวงหาความสะดวกสบาย ความหรูหรา ฟุ้งเฟ้ออย่างละโมบอยู่อีก เรากำลังเป็นผู้ที่ทำให้ตัวเราเองหมดความสุข

ในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่มีพื้นฐานการเพาะปลูกอยู่ที่เรื่องรายได้ทำให้ต้องใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี เพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น เพื่อจะได้ผลกำไรมากขึ้นเพื่อสนองความโลภของตนเอง นี่ไม่ใช่หลักการเศรษฐศาสตร์ของชีวิต ยาฆ่าแมลงสังหารอินทรีย์สภาพหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และปุ๋ยก็ทำให้ความเป็นกรดด่างของดินเสียไป ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพลง การเน้นให้ได้ผลเก็บเกี่ยวสูงในระยะสั้นเพื่อให้ได้ผลกำไรเพิ่มขึ้นกำลังทำลายแบบแผนชีวิตของธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทำลายตนเอง อีกทั้งการปฏิบัติแบบที่ไม่ใช่ธรรมชาติเช่นนั้นจะทำให้ดินเสื่อมลงไม่ช้าก็เร็ว จนกระทั่งแม้แต่กำไรก็หดหายไป ในทางกลับกันการปลูกพืชหมุนเวียนและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ก็เพียงพอที่จะทำให้เรามีอาหารอยู่อย่างพอเพียงที่จะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

หลักเศรษฐศาสตร์ของชีวิตสามารถประยุกต์ใช้ในการกินอาหารของเรา ด้วยการไม่เหลือทิ้งขว้าง ยิ่งเราสูญเสียอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์น้อยเพียงใด ก็จะยิ่งมีเหลือสำหรับคนอื่นๆ มากขึ้นไปด้วย

,

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า