สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การอดอาหารเพื่อรักษาโรค

การอดอาหาร(Fasting)
เป็นกระบวนการในช่วงระยะเวลาหนึ่งซึ่งทำให้ร่างกายขาดอาหารแต่ไม่รวมของเหลว ร่างกายก็จะมีโอกาสทำความสะอาดตัวเองและการเผาผลาญอาหารในร่างกายก็จะมีการสร้างระเบียบขึ้นมาใหม่

การอดอาหารมีวิธีการอยู่หลายแบบ เช่น แบบที่บริโภคแต่น้ำ น้ำผลไม้ และแบบที่จำกัดให้บริโภคเฉพาะอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การให้รับประทานเฉพาะผลไม้และข้าวเจ้าเพียงอย่างเดียว ระยะเวลาการอดอาหารมีตั้งแต่วันเดียวไปจนกระทั่งถึง 30 วันหรือนานกว่านั้น และต้องได้รับการดูแลสภาพร่างกายอย่างใกล้ชิด

การอดหาหารเป็นการจงใจงดเว้นจากอาหาร จะแตกต่างกับการขาดอาหารหรือการตายเพราะขาดสารอาหารอย่างมาก ซึ่งการอด หรือ fast กับการขาดอาหาร หรือ starve มาจากคำในภาษาแองโกลแซ็กซอน(Anglo-Saxon)เหมือนกัน แต่มีรากต่างกัน คำว่าขาดอาหาร หรือสตาร์ฟ(starve) มาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณว่า สตีออร์แฟน(steorfan) ซึ่งแปลว่า “การตายอย่างเชื่องช้าเพราะความหิว” ส่วนคำว่า “อดอาหาร” หรือ ฟาสต์(fast) มาจากคำโกธิค(Gothic) ว่า ฟาสทัน(fastan) และจากคำในภาษาอังกฤษโบราณที่ว่า แฟสทัน(faestan) ซึ่งแปลว่า “ไปโดยไม่มีอาหาร” หรือ “มีความเคร่งครัด”

ใน 6 ศาสนาใหญ่ๆ ของโลก จะมีอยู่ 4 ศาสนา ที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีในเรื่องการอดอาหารกำหนดไว้อย่างชัดเจน คือ ศาสนาฮินดู คริสเตียน อิสลาม และยิวหรือยูดาย(Judaism) ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติธรรมที่ถือเป็นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายเพื่อผลทางจิตวิญญาณ และได้มีคำกล่าวอ้างถึงการอดอาหารไว้หลายกรณีในคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยมีการระบุไว้ถึง 75 ครั้งในบางสำนวน มีการอดอาหารซึ่งถือเป็นกระบวนการชำระล้างจิตใจและร่างกายให้บริสุทธิ์เป็นสำคัญในชนชาวพื้นเมืองอเมริกันหรืออินเดียนแดงหลายเผ่า เพื่อเป็นพิธีฉลองการสร้างใหม่และการเป็นหนุ่มเป็นสาวใหม่

ต่างก็มีคำแนะนำเรื่องการอดอาหารเอาไว้ทั้งนั้นจากแพทย์ชาวกรีก โรมัน อียิปต์และจีนในครั้งโบราณ ซึ่งมีนักปฏิรูปอาหารการกินมากมายที่เชื่อถือและศรัทธาในประสิทธิผลของการอดอาหารตลอด 100 ปีที่ผ่านมา โดยมีผลงานการวิจัยของรัสเซียที่อ้างว่า ความผิดปกติที่ผิวหนัง สามารถรักษาได้ด้วยการอดอาหาร เช่นโรคที่เรียกว่า เอ็คซีม่า(Eczema) หรือโรคเรื้อนกวาง(Psorisis) และเชื่อว่าการอดอาหารจะสามารถช่วยฟื้นความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายได้ด้วย

ดูจะเป็นกระบวนการที่มีมาแต่กำเนิดในความต้องการอดอาหาร ซึ่งเวลาที่ไม่สบายก็มักจะไม่อยากรับประทานอาหาร และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการหายจากโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ

ร่างกายจะทำงานเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่สูดหรือรับประทานเข้าไปในช่วงเวลาปกติ และต้องใช้พลังงานอย่างมากในการแปรรูปอาหารที่รับประทานเข้าไปอยู่ตลอดเวลา เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บร่างกายจำเป็นต้องระดมพลังงานมาสู้กับโรคจึงเหลือที่จะนำมาเพื่อทำความสะอาดระบบย่อยอาหารได้น้อยลง

การปรับปรุงสุขภาพโดยรวมการอดอาหารก็มักจะถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นการบำบัดความผิดปกติของสุขภาพร่างกายบางอย่าง ซึ่งอาจจะอดอาหารเป็นประจำเพื่อกำจัดพิษออกไปจากร่างกายในคนที่ไม่อ้วนบางคน ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายมีโอกาสได้พักผ่อน คนที่อ้วนฉุเฉพาะโรคบางคนอาจจะลดน้ำหนักไปได้เป็นร้อยๆ ปอนด์ จากการอดอาหารเป็นเวลาหลายเดือนโดยมีแพทย์ควบคุมดูแลอยู่ เมื่อร่างกายต้องอดอาหารเป็นเวลานานในทางสรีรวิทยานั้นร่างกายจะบริโภคเนื้อส่วนเกินที่เป็นแหล่งอาหารสำรองของมันเองในส่วนที่เป็นไขมันและเนื้อเยื่อบริเวณเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและที่อวัยวะต่างๆ

มีความเชื่อในวิธีการแบบโฮลิสติค(holistic) ในกลุ่ม “นักสุขอนามัยธรรมชาติ”(natural hygienists) คือ การบำรุงรักษาร่างกายทั้งหมดทุกส่วน ไม่เฉพาะเพื่อแก้ไขอาการป่วยเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อให้หายจากโรคและนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี ซึ่งพวกเขาจะใช้วิธีการอดอาหารเป็นหลักในการรักษาโรคเมื่อเจ็บป่วย ร่างกายจะได้พักผ่อนจากหน้าที่จำเป็นส่วนใหญ่เมื่อมีการอดอาหารและหันมามุ่งที่การรักษาตัวเอง

โรคหลายอย่าง เช่น ข้ออักเสบชนิดรูมาตอยด์ ปวดศีรษะเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร หอบหืด เบาหวานและจิตเภท หรือสคีโซเฟรเนีย(schizophrenia) ได้ถูกนำการอดอาหารมาใช้ในการรักษาด้วยเช่นกัน และผลจากการวิจัยก็ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า สามารถทำให้คนเรามีอายุยืนนานขึ้นด้วยการอดอาหาร

การอดอาหารควรดำเนินการใต้การควบคุมดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่ได้รับใบอนุญาตเนื่องจากอาจมีอันตรายได้หากกระทำไปอย่างไม่เหมาะสม

ได้มีคำเตือนเกี่ยวกับการอดอาหารจากแพทย์แผนปัจจุบันว่า การอดอาหารอาจมีน้ำดีค้างอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานโดยไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการย่อยอาหารจากการรับประทานอาหารปกติตามกำหนดเวลา อาจส่งผลให้เกิดการก่อตัวของนิ่วในถุงน้ำดีได้

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า