ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าโรคเบาหวานเป็นอย่างไร โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินน้อยเกินไป หรือ ปริมาณอินซูลินมีระดับปกติแต่ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้ ฮอร์โมนอินซูลินมีหน้าที่ช่วยลดระดับนํ้าตาลในร่างกาย ที่ว่านี้สร้างที่ส่วนไหนในร่างกายของเรา อินซูลินสร้างที่ตับอ่อน ถ้าตับอ่อนของเรามีความผิดปกติ เช่น เกิดการติดเชื้อ ตับอ่อนเสียหน้าที่จากยาหรือสารเคมี เป็นต้น จะมีผลทำให้อินซูลินหลั่งออกมาปริมาณน้อยจึงเป็นเหตุให้ร่างกายมีระดับนํ้าตาลในเลือดสูงขึ้นกว่าปกติที่เราเรียกว่าโรคเบาหวาน ในคนที่รูปร่างอ้วนบางครั้งระดับอินซูลินหลั่งออกมาปริมาณปกติ แต่ความอ้วนมีผลทำให้ร่างกายเกิดการดื้อต่ออินซูลิน ก็เป็นเหตุให้ระดับนํ้าตาลในเลือดสูงและเป็นโรคเบาหวานได้เช่นเดียวกัน โรคเบาหวานถึงแม้ว่าจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยก็สามารถ ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ และดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
การดูแลตนเองในเรื่องโรคเบาหวานนั้นประกอบด้วยกันหลายประการ
ได้แก่
1 .การรู้จักเลือกรับประทานอาหาร
2. การใช้ยา
3. การออกกำลังกาย
4. การดูแลตนเองเมื่อเกิดภาวะนํ้าตาลในเลือดสูงและภาวะนํ้าตาลในเลือดตํ่า
5. การรักษาสุขภาพอนามัยและการดูแลเท้า
6. การจัดการกับความเครียด
การเลือกรับประทานอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน
หัวใจสำคัญในการดูแลตนเองเรื่องโรคเบาหวานก็คือการรู้จักเลือกรับประทานอาหารหรือที่เราเรียกว่าการควบคุมอาหาร มีผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานหลายท่านเข้าใจผิดคิดว่าการควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวานคือ การอดอาหาร หรือการรับประทานอาหารให้น้อยที่สุด ซึ่งผู้ป่วยที่มีประสบการณ์อดอาหารคงจะทราบดีว่า นำความทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างยิ่งมาสู่ผู้ป่วย เพราะอาหารที่ห้ามก็เป็นของที่ชอบรับประทานทั้งนั้น จริงๆ แล้วการควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวานก็คือการรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับตนเอง เหมาะกับนํ้าหนักและสภาพการใช้แรงงานของตนโดยรับประทานให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ไม่รับประทานน้อยหรือมากเกินความจำเป็น ดังนั้น ผู้ป่วยแต่ละคนจะต้องเรียนรู้ว่าตนเองสามารถรับประทานได้มากน้อยแค่ไหน จึงจะเหมาะกับร่างกายและสภาพการใช้แรงงานของตนเองในแต่ละวัน
ประโยชน์ของการควบคุมอาหารก็คือ
1. ช่วยรักษาระดับนํ้าตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติได้
2. ช่วยให้นํ้าหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ
3. ช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
4. ช่วยให้รูปร่างสมส่วน เกิดความสวยงาม
5. ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
หลักการง่ายๆ สำหรับการรับประทานอาหารในผู้ป่วยโรคเบาหวานมีดังนี้
– รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ ตรงเวลา และรับประทานในปริมาณ ที่ใกล้เคียงกันทุกวัน ทุกมื้อ
– ไม่รับประทานจุบจิบระหว่างวัน เช่น ขนมชั้น หวานเย็น ขนมกรุบกรอบ
เป็นต้น
– ในแต่ละมื้อรับประทานทั้งแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน และผัก ให้ครบทุกหมวด ในปริมาณที่เหมาะสม
– หลีกเลี่ยงหรืองดการรับประทานนํ้าตาล นํ้าผึ้ง นํ้าหวาน นํ้าอัดลม ขนมหวาน ขนมเชื่อมน้ำตาล นมข้นหวาน นํ้าเชื่อม ถ้าชอบรสหวานจริงๆ สามารถใช้นํ้าตาลเทียมแทนได้
– หลีกเลี่ยงหรืองดการดื่มเหล้า เบียร์ ยาดองเหล้า เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพราะทำให้ระดับนํ้าตาลสูงขึ้นได้
– หลีกเลี่ยงการรับประทานเครื่องในสัตว์ ไขมันสัตว์ นํ้ามันหมู มันหมู เนื้อติดมัน หมูสามชั้น ครีม กะทิ นํ้ามันมะพร้าว นํ้ามันปาล์ม ไข่แดง หอยนางรม อาหารทอด เช่น กล้วยทอด ปาท่องโก๋ เป็นต้น เพราะทำให้ได้พลังงานส่วนเกินและเกิดปัญหาไขมันในเลือดสูงตามมาได้
– หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด
– รับประทานอาหารประเภทเเป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ถั่ว ขนมปัง ในปริมาณที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
– รับประทานผักให้มากขึ้น เพื่อให้รู้สึกอิ่ม และไม่อยากรับประทานอาหารอย่างอื่นเพิ่มเติม
จากที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นหลักการง่ายๆ ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานนำไปปฏิบัติ สิ่งสำคัญอยู่ที่กำลังใจและความตั้งใจจริงของผู้ป่วย ที่จะพยาบาลปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เคยปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานานให้เหมาะสมต่อไป ซึ่งถ้าผู้ป่วยตั้งใจจริง ก็เชื่อแน่ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกท่านจะสามารถควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไปได้แน่นอน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ โดยเป้าหมายสำคัญในการดูแลและควบคุมโรคเบาหวานก็คือ ทำอย่างไรเราจึงจะควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดในอยู่ในค่าปกติ หรือใกล้เคียงค่าปกติให้มากที่สุดคือ 126 มิลิกรัมเปอร์เซนต์ เพราะถ้าเราปล่อยให้ระดับนํ้าตาลในกระแสเลือดสูง เป็นเวลานาน เป็นเดือน เป็นปี จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายตามมาได้
การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นการดูแลตนเองที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องเลือกรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับรูปร่างของตนเองและการใช้แรงงานในแต่ละวัน โดยผู้ป่วย จะต้องทราบก่อนว่ารูปร่างของตนเองนั้นเป็นอย่างไร คือเป็นคนผอม คนอ้วน หรือ คนนํ้าหนักปกติ โดยมีวิธีคิดง่ายๆ ดังนี้
สำหรับผู้ชายให้นำส่วนสูง ลบด้วย 100 เช่น สูง 170 ควรมีนํ้าหนักเท่ากับ 170- 100 = 70 กิโลกรัม
ถ้าเป็นผู้หญิงให้นำส่วนสูง ลบด้วย 110 เช่น สูง 160 ควรมีน้ำหนักเท่ากับ 160 – 110 = 50 กิโลกรัม นํ้าหนักที่เหมาะสมนี้จะบวกเพิ่มและลบได้อีก 3 – 5 กิโลกรัม
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีนํ้าหนักน้อยเกินไป สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นเพื่อเพิ่มนํ้าหนัก สำหรับคนที่อ้วนเกินไปควรลดปริมาณอาหาร ลงเพื่อลดนํ้าหนัก และสำหรับคนนํ้าหนักปกติสามารถรับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ นอกจากนี้ปริมาณการรับประทานอาหารยังต้องคำนึงถึงการใช้แรงงานในแต่ละวันด้วย คือ ผู้ที่ใช้แรงงานน้อยได้แก่ แม่บ้าน ผู้ที่ทำงานเย็บปักถักร้อย อยู่กับบ้าน เป็นต้น ควรรับประทานให้น้อย ผู้ที่ใช้แรงงานระดับปานกลาง เช่น ค้าขาย แม่บ้านที่ทำงานบ้านต่อเนื่องตลอดวัน สามารถรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นได้ และผู้ที่ใช้แรงงานมาก เช่น กรรมกรแบกหาม งานก่อสร้าง สามารถรับประทานอาหารได้มากกว่าผู้ที่ใช้แรงงานปานกลางและแรงงานน้อย เมื่อผู้ป่วยมีนํ้าหนักตัวเท่ากัน
ท่านคงจะสามารถประเมินตนเองได้แล้วว่าตนเอง เป็นคนผอม คนอ้วน หรือนํ้าหนักปกติ และมีการใช้แรงงานในแต่ละวันอยู่ในระดับใด
จะขอยกตัวอย่างปริมาณอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นคนอ้วน และทำงานเบาว่าควรจะรับประทานอาหารอย่างไรให้เป็นตัวอย่าง สำหรับผู้ป่วยที่มีนํ้าหนักและการใช้แรงงานต่างออกไป สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อ้วนและใช้แรงงานน้อยควรจะได้รับพลังงานในแต่ละวันประมาณ 1500 แคลอรี่ โดยควรรับประทานอาหารดังนี้
อาหารประเภทข้าวหรือแป้ง รันประทานวันละประมาณ 8 – 9 ทัพพี ตักพอเต็มทัพพี ถ้าเป็นไปได้รับประทานข้าวไม่ขัดสีก็จะดีมาก เพราะช่วยชะลอการดูดซึมนํ้าตาลและมีวิตามินสูง
อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ประมาณ 6 ช้อนโต๊ะต่อวัน
อาหารประเภทไขมัน ประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน
ผักรับประทานได้เติมที่ไม่จำกัด มีเพียงผักบางชนิดที่ต้องระมัดระวังบ้าง เพราะมีนํ้าตาลมาก ได้แก่ เผือก มัน ฟักทอง หัวหอมใหญ่ ใบขี้เหล็ก ดอกขี้เหล็ก ใบย่านาง ผักหวาน
ผลไม้รับประทานได้วันละประมาณ 3 – 4 ส่วน เช่น รับประทาน
เงาะ 1 ส่วน เท่ากับ 4 ผล
องุ่น เท่ากับ 10 ผล
มะม่วงสุก เท่ากับ 1/2 ผล
ชมพู่ เท่ากับ 2 ผล
ผลไม้ทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวรับประทานได้ใน 1 วัน ผู้ป่วยสามารถเลือกรับประทานผลไม้ได้หลากหลายชนิด แต่จะต้องเรียนรู้ว่าผลไม้แต่ละส่วนนั้นมีปริมาณเท่าใดและในหนึ่งวันรับประทานไม่เกิน 3 – 4 ส่วน
นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานควรเรียนรู้เรื่องหมวดการแลกเปลี่ยนอาหาร เพื่อลดความจำเจในการรับประทานอาหารซ้ำ ๆ แบบเดิม โดยระดับนํ้าตาลไม่เพิ่มสูงขึ้นดังนี้
ข้าว 1 ทัพพี จะเท่ากับ ขนมปัง 1 แผ่น หรือ ข้าวเหนียว 1 ปั้นขนาดเท่าไข่ไก่หรือเท่ากับก๋วยเตี๋ยว 1 ทัพพี หรือขนมปังกรอบจืด 3 แผ่น หรือเท่ากับขนมจีน 1 จับเล็ก ดังนั้นผู้ป่วยสามารถดัดแปลงการรับประทานอาหารให้หลากหลายขึ้น โดยยังคงควบคุมไม่ให้เกินปริมาณที่รับประทานได้ในแต่ละวัน
ผู้ป่วยที่สนใจเรียนรู้เรื่องปริมาณผลไม้ 1 ส่วน หรือการแลกเปลี่ยนอาหาร ประเภทอื่นสามารถหาหนังสือเกี่ยวกับโรคเบาหวานอ่านเพิ่มเติมได้ตามร้านขายหนังสือทั่วไป
ภาวนา กีรติยุตวงศ์