สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก (Energy)

ไม่มีใครในโลกนี้ตั้งแต่เกิดจนตายจะไม่ประสบกับความยากลำบากหรืออุปสรรคใดๆ เลย หากแต่คนในโลกนี้แยกออกได้เป็นสองประเภท คือ ประเภทหนึ่ง มีน้ำอดน้ำทน สามารถเอาชนะอุปสรรคและความ ยากลำบากแห่งชีวิตได้ อีกประเภทหนึ่ง ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและขลาดกลัวต่อความยากลำบาก

บรรดาบุคคลสำคัญทั้งหลายนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องได้ผจญกับความยากลำบากมาแล้วทั้งสิ้น แต่เรามารู้จักเขา เมื่อเขาเหล่านี้มีชื่อเสียงแล้ว และอาจแลเห็นว่าบางคนที่มีฐานะมั่งคั่งเป็นมรดก คงจะมีชีวิตเป็นสุขสบาย ราวกับวิถีชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ แท้จริงไม่ว่าคนมั่งมีหรือ ยากจน ต่างก็มีอุปสรรคไปคนละอย่าง และในบางคนที่มั่งมีฐานะดี อาจมีอุปสรรคมากกว่าคนยากจนก็เป็นได้

มหาตมะ คานธี ผู้กู้ชาติของประเทศอินเดียให้พ้นจากการปกครองของประเทศอังกฤษ เป็นมหาบุรุษผู้หนึ่งที่ไม่กลัวต่อความยากลำบาก ในการต่อสู้ของมหาตมะ คานธี มิได้ใช้อาวุธอันใด และมิได้ใช้วิธีการชั่ว ร้ายหรือการเบียดเบียนเข้าต่อสู้ หากแต่เผยแพร่วิธีการต่อสู้แบบ “อหิงสา” คือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้ความอดทนเป็นอาวุธอันยอดเยี่ยม มหาตมะ คานธี สอนให้ชาวอินเดียเลิกใช้ผลิตผลทางอุตสาหกรรมของอังกฤษ เลิกเสียภาษีแก่คณะผู้ปกครองชาวอังกฤษที่ควบคุมอินเดีย ถ้ารัฐบาลอินเดียที่ปกครองโดยชาวอังกฤษจะจับก็ยอมให้จับ แม้ตัวมหาตมะ คานธีเองก็ยอมติดคุก โดยวิธีการดื้อแพ่งโดยไม่ใช้อาวุธสงครามเขาต่อสู้นั่นเอง ในที่สุดประเทศอังกฤษก็ยอมให้เอกราชแก่ชาวอินเดีย มหาตมะ คานธี ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อชาติ เดิมเขามีฐานะดี แต่เมื่อเล่นการเมืองเข้า ฐานะของเขาก็ยากจนลงทุกที ในบางครั้งชาวอินเดียที่ถือศาสนาต่างกัน เกิดความแตกแยกกัน เขาก็ใช้วิธีการอดอาหารประท้วงได้หลายๆ วัน จนชาวอินเดียกลับมารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในชีวิตของมหาตมะ คานธี ผ่านความทุกข์ยากมามากมาย และแม้ท้ายที่สุดแห่งชีวิต เขาก็ถูกกระสุนปืนของเด็กหนุ่มผู้บ้าระห่ำผู้หนึ่ง ยิงเขาจนถึงแก่ความตาย อย่างไรก็ตาม ผลงานและคุณงามความดีของเขา ก็ทำให้ฐานะของมหาตมะ คานธี เป็นดุจเทพเจ้าองค์หนึ่ง ที่คนอินเดียเคารพนับถือยิ่งนัก
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าของไทยเราก็ทรงเป็นมหาบุรุษผู้หนึ่ง ที่ไม่สะทกสะท้านต่อความยากลำบาก พระองค์ทรงกู้เอกราชชาติไทยจากอิทธิพลของพม่า ในขณะที่สยามประเทศเวลานั้นอ่อนแอและมีรี้พลน้อยกว่าพม่าหลายเท่านัก ทรงกระทำสงครามยุทธหัตถี โดยทรงเอาชีวิตพระองค์เข้าแลกกับเอกราชของชาติ และก็ปรากฏว่าทรงชนะ พระมหาอุปราชาแห่งพม่า จนฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง ประ เทศไทยในเวลานั้น จึงเป็นปึกแผ่นมั่นคงด้วยพระบารมีของพระองค์ หากพระมหากษัตราธิราชเจ้าพระองค์นี้ ทรงย่อท้อต่อความยากลำบาก ประเทศไทยก็คงเป็นประเทศราชของพม่าอีก ไม่ทราบว่านานเท่าใด

ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบากนั้น เป็นพลังภายในที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมีสองมือสองเท้าเหมือนกันกับเรา มนุษย์บางคน ก็มีคุณสมบัติชนิดนี้มาตั้งแต่เกิด เป็นคนกล้าหาญ ไม่กลัวตาย เป็นผู้ที่ทรหด อดทน ไม่กลัวต่อความยากลำบาก แต่การฝึกหัดให้มีพลังงานชนิดนี้ ก็สามารถทำการปลูกฝังได้โดยใช้วิธีการเลียนแบบผู้ที่กล้าหาญทั้งหลาย มีแนวทางดังต่อไปนี้

1. พยายามคบแต่เพื่อนที่มีอุปนิสัยที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว และ มีน้ำอดน้ำทน หรือไม่ก็ยึดวิถีชีวิตของมหาบุรุษสักคนเป็นประทีปแห่งชีวิตที่เราปรารถนาจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วเลียนแบบจริยาวัตรอันนั้น กล่าวกันว่า พระเจ้านโปเลียนมหาราชของฝรั่งเศส ทรงเอาเยี่ยงอย่าง ซีซาร์แห่งกรุงโรม ประธานาธิบดีลินคอล์นนั้น ก็มียอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐ เป็นแบบอย่างที่ตนนับถือบูชา เมื่อเรามีพ่อแบบที่ดี ก็ควรจะศึกษาประวัติของพ่อแบบที่เรารักให้มากที่สุด และเลือกเอาตัวอย่างที่ดีมาเป็นแบบการดำเนินชีวิตต่อไป ด้วยวิธีนี้ เราจะมีจิตใจที่กล้าหาญ อดทนมากขึ้น และจะเป็นผู้ที่ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก

2. ต้องตระหนักว่า ชีวิตของคนเราที่เกิดมาเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ใช่ให้มองด้วยความย่อท้อ มองเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ ที่จะเผชิญกับมันตั้งแต่เด็ก และตั้งแต่ในยามที่เรายังแข็งแรงกล้าแข็ง จงถือคติที่ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง อุปสรรคคือหนทางแห่งความสำเร็จ” คำพังเพยของไทยมีว่า “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” กล่าวคือ ความทุกข์ยากไม่ว่าจะหนักหนาเพียงไร ในที่สุดมันก็จะต้องผ่านเราไป แล้วเราก็จะกลับมีความสุขสบายใจได้อีก ทุกข์กับสุขเป็นของคู่กัน ไม่มีใครในโลกที่จะทุกข์ไปตลอดชีวิตหรือสุขไปตลอดชีวิต และแท้ที่จริงแล้ว สุขหรือก็เกิดจากใจกำหนด หรือสมมุติแล้วยืดถือ ด้วยอุปาทานนั่นเอง ภาษิตฝรั่งสอนว่า ท่ามกลางพายุและเมฆหมอกที่มืดครึ้มนั้น ที่ขอบฟ้าจะเห็นแสงอาทิตย์อยู่รำไร นั่นคือ ขอให้ทราบว่าหลังจากที่ชีวิตประสบความมืดมนทนทุกข์อย่างหนักแล้ว ในที่สุดชีวิตก็จะต้องพบกับแสงสว่าง ขอให้เรามีใจอดทนต่ออุปสรรคเท่านั้น เราก็จะเป็นผู้เอาชนะเคราะห์กรรมทั้งหลายได้

3. หมั่นศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะพงศาวดารในช่วงที่ประเทศต้องตกอยู่ในภาวะความยากลำบาก แล้วให้ตระหนักว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา คนใดเอาชนะความยากลำบากได้ ก็จะเป็นผู้ชนะ ผู้ใดอ่อนแอก็จะเป็นผู้แพ้ ขอให้เราลองศึกษาศาสดาของศาสนาที่ยิ่งใหญ่ 2 -3 ท่าน คือ โมเสส พระเยซูคริสต์ และพระมหะหมัด จะเห็นว่า ในชีวิตของท่านประสบความทุกข์ยากอย่างมาก กล่าวให้ย่อที่สุด ก็มีว่า โมเสสนั้นเป็นชาวยิว ที่พระธิดาแห่งจักรพรรดิอียิปต์เก็บมาเลี้ยง เมื่อเติบโตขึ้น ก็มีใจสงสารชาวยิวที่ตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์ในเวลานั้น ครั้งหนึ่ง ไปฆ่าทหารอียิปต์ที่รังแกทาสชาวยิว และได้หลบหนีไปอยู่ประเทศข้างเคียงอยู่หลายปี ต่อมาเมื่อทราบว่าจักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว ก็กลับมาประเทศอียิปต์อีก คราวนี้ เข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ องค์ใหม่ ขอพาชาวอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์ ครั้งแรกๆ จักรพรรดิก็ไม่ยินยอม แต่ต่อมาเกิดโรคระบาด คนตายไปเป็นจำนวนมากจักรพรรดิอียิปต์เข้าใจว่า เป็นเพราะพวกชาวยิวเป็นต้นเหตุ จึงยอมให้ โมเสสนำชาวยิวทั้งหมดออกไปจากอาณาจักรอียิปต์ได้ แต่พอโมเสสนำ ไพร่พลจำนวนหมื่นจำนวนแสนออกเดินทางแล้ว ทางจักรพรรดิอียิปต์ เกรงว่าโมเสสจะเป็นภัยนำกำลังกลับมาสู้รบกับอียิปต์ในภายหลัง ก็ส่ง กองทหารออกติดตามไป ปรากฏว่า โมเสสนำกำลังผ่านทะเลแดงไปได้แต่พอกองทัพอียิปต์ตามไป ก็ปรากฏว่า ถูกน้ำทะเลท่วมทั้งกองทัพตายหมด โมเสสยังต้องต่อสู้กับความเชื่อของชาวอิสราเอลอีกมากมาย เพราะมีหลายคนหันกลับไปนับถือรูปปั้นโคเป็นพระเจ้า แต่ในที่สุดโมเสสก็สามารถเอาชนะจิตใจชาวยิวได้ และเขาได้นำบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นหลักศีลธรรมที่ดีเยี่ยมที่สุดในยุคนั้นมาสั่งสอน ชาวยิวก็เชื่อถือสืบต่อๆ มา เป็นศาสนายิว พระเยซูคริสต์นั้น เป็นชาวยิวคนหนึ่งที่เชื่อว่า เป็นพระเมสสิอาร์ ตามคำพยากรณ์ในศาสนายิว และได้ทรงทำการเผยแพร่คำสอนให้แก่ชาวยิวอย่างมากมาย โดยเฉพาะได้เน้นเรื่องความรักพระเจ้า และความรักเพื่อนมนุษย์ ในที่สุดพระองค์ก็ถูกพระชาวยิวเวลานั้นจับไป ให้ผู้ปกครองลงโทษ และพระองค์ต้องถูกตรึงไม้กางเขนจนสิ้พระชนม์ แต่คำสอนของพระองค์กลับไม่ตายตามพระองค์ไป และกลายเป็นศาสนาที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีในเวลานี้ ส่วนพระมหะหมัดนั้น เป็นนักต่อสู้อย่างแท้จริง ทรงเป็นทั้งศาสดา และเจ้าเมือง ต้องทรงทำสงครามหลายหน กว่าที่จะตั้งศาสนาอิสลามขึ้นได้ ก็ผ่านความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย แต่ในที่สุด คำสอนของพระมหะหมัดก็เอาชนะใจชาวอาหรับและชาวมุสลิมทั่วโลก

4. ต้องหมั่นบำรุงสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงและสมบูรณ์ให้มากที่สุด เพราะการมีสุขภาพกายใจที่สมบูรณ์ จะเป็นแรงต้านทานเมื่อชีวิตประสบความยากลำบาก อันที่จริงคำว่า Energy ของฝรั่งนี้ ถ้าเราไม่แปลว่า “ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก” แล้ว อาจแปลได้ว่า “พลังภายใน” คนเราทุกคนมีพลังอันนี้อยู่แล้วด้วยกันทุกคน เป็นแต่จะรู้จักใช้พลังภายในกันมากน้อยเพียงใด คนที่มีจิตตานุภาพมาก มีสุขภาพกายที่สมบูรณ์ ก็จะมี ”พลังภายใน” มาก ถ้าวันใดเราใช้พลังกายพลังใจเราเกินควรหรือมากเกินไป ก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า “เหนื่อย” หรือ “อ่อนเพลีย” แล้วร่างกายจะบังคับให้เราต้องพักผ่อน เพื่อเรียกกำลังที่สูญเสียไปกลับคืนมา คนที่อยู่ในสภาวะที่ขาดทุนบ่อยๆ หรืออ่อนเพลียบ่อยๆ แล้วยังไม่อาจพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ในที่สุดก็จะเกิดอาการโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา ซึ่งจะบังคับให้ร่างกายต้องพักผ่อนนอนเตียงเป็นเวลานานๆ หรือ ถ้าเป็นสภาวะที่ขาดทุนทางกำลังจิต ก็จะทำให้เป็นโรคจิต หรือโรคประสาท อันจะต้องพักผ่อนจากการทำงานมากๆ และถ้ารักษาไม่ดีก็ไม่หายง่ายๆ ฉะนั้น อย่าคิดว่าเรื่องสุขภาพอนามัยเป็นเรื่องไม่สำคัญ คนที่มีสุขภาพใจกายอ่อนแอ เมื่อประสบปัญหาชีวิตมากๆ ทนทานไม่ไหว หลายคนก็ถึงกับฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างมาก ขอให้เราทุกคนทราบว่า ดวงจิตของเรามีพลังภายในที่สะสมไว้ในจิตใต้สำนึกอย่างมากมาย สุดแต่ว่าเราจะรู้จักขุดค้น และดึงเอาพลังภายในนี้มาใช้ได้มากน้อยเพียงไร ถ้าเรานำมันออกมาใช้เป็นประโยชน์ได้มาก เราก็จะทำงานได้มาก ต่อสู้อุปสรรคปัญหาชีวิต หรือความทุกข์ยากได้อย่างมาก แต่เราต้องอย่าลืมว่า ทั้งกายและใจต้องได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ถ้าการพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดอาหาร ขาดอากาศที่บริสุทธิ์ และขาดการฝึกฝนกำลังจิต เราก็จะเกิดภาวะขาดทุนและเจ็บป่วยอย่างที่กล่าวมาแล้ว

5. จงเหยียดเอาเคราะห์ร้ายทิ้งไป หากพ่ายแพ้และหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ขอให้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ ดูประเทศญี่ปุ่นและ เยอรมันเป็นอาทิ ทั้งสองประเทศนี้ ต่างพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่บัดนี้กลับเป็นประเทศที่แข็งแรงที่สุดทางเศรษฐกิจ เงินตราของประเทศทั้งสองนี้เป็นเงินตราที่แข็งที่สุด ขอเราจงอย่ายอมเป็นทาสของความทุกข์ ความวิตกกังวล ในเวลาที่ชีวิตประสบความทุกข์ยาก แต่ถ้าใจเรา ไม่ยอมรับความทุกข์ยากมาไว้ในใจแล้ว เราย่อมมีหนทางแก้ไขปัญหาได้อย่างแน่นอน จงไล่มันออกไป จงให้มันผ่านไป อย่าเก็บไปคิดให้รกสมอง นิสัยคนเราเป็นสิ่งที่ฝึกฝนและเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเดิมเราเคยมีนิสัยที่ชอบเก็บเอาความทุกข์เข้ามาไว้ในอารมณ์มากๆ บ่อยๆ หรือได้ง่ายๆ นั้น ขอให้เราจงใช้วิธีการเตือนตนเองก่อนเข้านอนว่า “เราต้องการขจัดนิสัยเจ้าทุกข์ออกไปจากจิตใจเรา” หรือสอนใจตนเองว่า “ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ที่เดือดร้อน หรือรุนแรงเพียงใดก็ตาม เราจะเอาชนะมันให้จงได้ ด้วยกำลังใจของเรา” หรือ “เราต้องการขับไล่ความทุกข์และความวิตกกังวลให้ออกไปจากจิตใจโดยเร็วที่สุด และจะไม่ให้มันเหลือค้างอยู่ในดวงจิต ที่จะทำลายสุขภาพกายใจเราอีกต่อไป” การเตือนตัวเองบ่อยๆ หลายๆ ครั้ง จะทำให้เราแก้นิสัยที่เลวร้ายในการเป็นคนเจ้าทุกข์ได้อย่างแน่นอน

6. จงตั้งต้นชีวิตในแต่ละวัน ด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใสและกระฉับกระเฉง อย่าปล่อยให้อกุศลจิตครอบงำเราแต่เช้าตรู่ บางคน เมื่อตื่นนอนใหม่ๆ มักมีอารมณ์หงุดหงิด หรือวิตกกังวล บางคนก็เป็นโรค “เซ็ง” ต่อชีวิต จงรีบออกกำลังกายบริหาร บิดขี้เกียจไล่ความเกียจ คร้าน หรือความง่วงงุนออกไปจากจิตใจให้เร็วที่สุด ในเวลาอาบน้ำตอน เช้าตรู่ให้ถูตัวแรงๆ หายใจเข้าปอดให้ลึกๆ มากที่สุด ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อยควรดื่ม 1 แก้ว และเมื่อไปถึงที่ทำงาน ก็ควรเริ่มต้นการทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง เพื่อที่ชีวิตตลอดทั้งวันจะเป็นไปด้วยความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการทำงาน ถ้าเรามีความเศร้าโศกก็จงหาทางดับมันให้หายไป ตามวิธีการที่กล่าวในข้อ 5. ถ้าเรารู้สึกอ่อนเพลีย หรือง่วงงุน ถ้าแก้ได้จงรีบแก้ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ให้เรารู้จักฝึกหัดงีบเป็นระยะๆ ไม่ควร เกินครั้งละ 15 นาที แต่เมื่อตื่นจากงีบแล้ว จงหาทางทำให้กายใจกระฉับกระเฉง ลงมือทำงาน โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ทำงานให้ลุล่วงไปให้มากที่สุด และถ้าตอนเย็นมีเวลาว่าง ก็ควรจะศึกษาค้นคว้าอ่านหนังสือ เล่นกีฬา หรือหางานอดิเรกที่ตนรัก จงอย่าปล่อยให้มีเวลาว่างเหลือมากนัก เพราะคนที่มีเวลาว่างมากเกินไป มักจะเก็บเรื่องในอดีตมาคิด หรือไม่ก็ชอบวิตกกังวลเรื่องในอนาคต อันเป็นนิสัยที่ไม่ดี งานเท่านั้นที่จะทำให้สุขภาพจิตของท่านดีอยู่ตลอดเวลา ขออย่าให้เรากลัวอุปสรรค จงเดินหน้าเข้าหามัน อย่าถอยหนี แล้วมันจะพ่ายแพ้ต่อกำลังใจเราในที่สุด

ที่มา:สมิต  อาชวนิจกุล

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า