สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

อาหารสูตรต้นข้าวสาลี (Wheatgrass Diet)

อาหารสูตรต้นข้าวสาลี หรือวี้ทกราสไดเอ็ท(Wheatgrass Diet) เป็นการนำน้ำที่คั้นจากต้นข้าวสาลีมารับประทานเป็นอาหาร เป็นยา และเป็นยาบำรุงผู้ป่วยโรคต่างๆ ทั่วไป มิใช่ตำรับอาหารสูตรพิเศษเพื่อการรักษาโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ

น้ำที่คั้นจากต้นข้าวสาลีจะเป็นสีเขียวข้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยวิตามินตามธรรมชาติ แร่ธาตุ เอ็นไซม์ คลอโรฟิลและพลังงานชีวิตที่สำคัญยิ่ง ส่วนของต้นสาลีที่นำมาคั้นจะต้องเป็นส่วนยอดของต้นสาลีอ่อนๆ ที่งอกมาจนยาวประมาณ 6-9 นิ้ว ภายใน 7 วัน

ในทศวรรษที่ 1950 แอน วิกมอร์(Ann Wigmore) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันสุขภาพฮิโปเครตีส(Hippocrates Health Institute) ในบอสตัน ได้นำน้ำคั้นจากข้าวสาลีมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการบำรุงสุขภาพของมนุษย์เป็นครั้งแรก เนื่องจากเกิดปัญหาด้านสุขภาพขึ้นมาหลายอย่าง ซึ่งแนวความคิดของวิกมอร์ได้เกิดจากสมัยที่ยังเป็นเด็กและอาศัยอยู่ในยุโรปได้เห็นยายใช้ต้นหญ้าในการรักษาทหารที่บาดเจ็บในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้

การทดลองของวิกมอร์เริ่มต้นด้วยการนำใบของพืชตระกูลหญ้าหลายชนิดไปเลี้ยงสัตว์ และปรากฏว่าใบของข้าวสาลีมีผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจมากที่สุด สามารถทำให้สัตว์เลี้ยงมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น วิกมอร์จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจาก ดร.จี.เอช.เอิร์พ-โธมัส(G.H. Earp-Thomas) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องพืชและดิน หญ้าชนิดต่างๆ และคลอโรฟิล และหลังจากที่ ดร. จี.เอช.เอิร์พ-โธมัส ได้ค้นคว้า รวมทั้งวิเคราะห์ในห้องแล็บอย่างถี่ถ้วนเป็นเวลานาน ก็ลงความเห็นว่า ต้นข้าวสาลีน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะมีสารอาหารที่สำคัญอย่างมากมาย

ในระหว่างที่ทำการค้นคว้า ดร.จี.เอช. เอิร์พ-โธมัส ยังได้ข้อมูลที่ชวนให้มั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อได้อ่านเอกสารทางวิชาการที่เขียนโดย ดร.ซี.ชนาเบล(C. Schnabel) ซึ่งมีผลงานวิจัยในเชิงสนับสนุนการใช้ต้นข้าวสาลีและต้นพืชตระกูลหญ้าชนิดอื่นๆ เพื่อเป็นอาหารบำรุงสำหรับมนุษย์และสัตว์ ที่ได้ระบุไว้ว่า ต้นข้าวสาลี 15 ปอนด์จะมีคุณค่าทางโภชนาการเท่ากับผักสดชนิดเลิศถึง 350 ปอนด์

วิกมอร์ได้เริ่มใช้ต้นข้าวสาลีเพื่อทดสอบกับตัวเองเกี่ยวกับปัญหาของลำไส้ที่เกิดจากการบริโภคอาหารแบบอเมริกันมากว่า 20 ปี โดยวิธีการเคี้ยวยอดอ่อน และดื่มน้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีด้วย ผลปรากฏว่าสภาพร่างกายของวิกมอร์ดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และทำให้หายขาดจากโรคในที่สุด และยังทำให้เขามีพลังวังชามากยิ่งขึ้น

วิกมอร์เชื่อว่า การขาดโภชนาการ เช่น รับประทานอาหารที่ปรุงมากเกินไป ผ่านกระบวนการแปรรูปมากเกินไป จึงเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ร่างกายเกิดโรคและความเสื่อมของสังขารอย่างที่คนมากมายประสบอยู่ ซึ่งสามารถช่วยต้านความขาดแคลนเหล่านั้นได้และช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บด้วยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ด้วยการใช้น้ำที่คั้นจากต้นข้าวสาลีประกอบกับอาหารดิบๆ อย่างอื่น วิกมอร์จะสนับสนุนให้รับประทาน ผักสด ผลไม้สด ต้นอ่อนที่เพาะขึ้นจากเมล็ดถั่วและเมล็ดพืชชนิดต่างๆ หรือที่เรียกว่า “อาหารเป็นๆ” ซึ่งจะได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าการนำสิ่งเหล่านี้ไปปรุงให้สุกหรือแปรรูปเพราะจะทำให้สารอาหารและเอ็นไซม์ลดน้อยลงหรือถูกทำลายไป

วิกมอร์จะแนะนำให้ดื่มน้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีสดๆ มากกว่าการรับประทานในรูปที่เป็นเม็ด หรืออัดเม็ด หรือตากแห้ง และควรคั้นน้ำจากต้นข้าวสาลีทันทีเมื่อตัดออกมาจากกอ ซึ่งตามร้านขายอาหารสุขภาพหลายแห่งรวมั้งบาร์น้ำผลไม้และตามสโมสรสุขภาพต่างๆ ก็มีการจำหน่ายน้ำที่คั้นจากต้นข้าวสาลีชนิดสด หรือจะปลูกข้าวสาลีไว้คั้นเองสดๆ ที่บ้านก็สามารถทำได้ง่ายและไม่สิ้นเปลืองอีกด้วย

น้ำที่คั้นจากต้นข้าวสาลีมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ คลอโรฟิล ซึ่งมีงานวิจัยเกี่ยวกับเซลล์โลหิตแดงของ ดร.ฮันส์ ฟิสเชอร์(Hans Fischer) กับเพื่อนร่วมงานเมื่อหลายปีก่อนว่า ฮีโมโกลบินหรือองค์ประกอบที่ทำหน้าที่ขนพาออกซิเจนของเซลล์โลหิตแดงของมนุษย์กับคลอโรฟิลของพืชมีลักษณะเกือบจะเหมือนกันทุกอย่าง หากพิจารณาในระดับโมเลกุล ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในงานชิ้นนั้น

ในทศวรรษที่ 1930 ได้มีโครงการวิจัยของ ดร.เอ.ซิน(A.Zin) แสดงไว้ว่า หลังจากที่ฉีดคลอโรฟิลให้สัตว์ที่มีปริมาณฮีโมโกลบินในระดับปกติ จะทำให้มันมีจำนวนเซลล์โลหิตแดงเพิ่มขึ้น และอีกผลงานหนึ่งที่ทำให้อังกฤษได้แสดงว่า สัตว์ที่มีอาการโลหิตจาง จะมีการสร้างฮีโมโกลบินได้เร็วเมื่อได้รับคลอโรฟิลดิบเข้าไป มากกว่าพวกที่ไม่ได้รับคลอโรฟิลประมาณ 50%

นักธรรมชาตินิยมเชื่อว่า ต้นข้าวสาลีและต้นอ่อนที่เพาะขึ้นจากเมล็ดพืชอย่างอื่น จะช่วยสร้างเซลล์โลหิตแดง เพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน ทำให้โลหิตมีออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้มากขึ้น ร่างกายก็สามารถทำได้งานได้ดีขึ้น

การทดสอบในห้องแล็บได้แสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำต้นข้าวสาลีมีประโยชน์มากมาย เนื่องจากเอ็นไซม์ในน้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีที่มีอยู่ในปริมาณมากจะช่วยฟอกโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย เช่น มูกที่แข็งตัว และอุจจาระที่กำลังผุสลายให้หมดไปจากลำไส้ใหญ่ และยังกระตุ้นการทำงานของตับ ช่วยสร้างเนื้อตับซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญในการกำจัดสารพิษอีกด้วย

สารกำจัดพิษที่ทรงพลังจากน้ำคั้นต้นข้าวสาลี ควรเริ่มรับประทานในขนาด 1 ออนซ์(28 กรัม)ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็น 4 ออนซ์หรือมากกว่านั้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้ว โดยอาจผสมน้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีให้เจือจางลงบ้างด้วยน้ำผลไม้ หรือน้ำเปล่าก็ได้

เครื่องดื่มชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลสูงหรือมีสารกระตุ้นอย่างคาเฟอีน มักจะให้ประโยชน์เฉพาะหน้า และถอดถอยลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไปในวันนั้น แต่สำหรับน้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีสามารถให้พลังงานที่อยู่ได้นานไปตลอดทั้งวัน

น้ำคั้นต้นข้าวสาลีสามารถนำไปใช้ในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมากมายนอกเหนือจากการใช้ดื่ม เช่น ช่วยรักษาแผล รอยขีดข่วน แผลที่เกิดจากแมลงกัดต่อย เป็นน้ำยาล้างผิวหรือยาสมานแผล ช่วยกระตุ้นให้มีการหมุนเวียนโลหิตเมื่อนำไปผสมน้ำอาบหรือแช่ ใช้เป็นยาสวนอุจจาระหรือให้ร่างกายดูดซึมเข้าไปด้วยการสวนทางทวารหนักโดยกระทำพร้อมกับการอดอาหารและดื่มน้ำคั้นต้นสาลีเพียงอย่างเดียว

ในหนังสือที่ให้ข้อมูลอย่างดีเรื่อง ตำราต้นข้าวสาลี:วิธี การปลูกและใช้ต้นข้าวสาลีเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สุขภาพและความมีชีวิตชีวา (The Wheatgrass Book: How to Grow and Use Wheatgrass to Maximize your Health and Vitality) ซึ่งแอนน์ วิกมอร์ ได้บรรยายวิธีการใช้น้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีไว้มากมายหลายแบบ และวิธีการปลูกและคั้นต้นข้าวสาลีด้วย และมีหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่งของวิกมอร์ คือ อาหารสูตรของฮิปโปเครตีสกับแผนการสุขภาพ (The Hippocrates Diet and Health Plan) ซึ่งหนังสือนี้มีให้ยืมอ่านตามห้องสมุดทั่วไป หรือมีจำหน่ายตามร้านขายหนังสือและร้านขายอาหารสุขภาพ หรือติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จากมูลนิธิ แอนน์ วิกมอร์ ตามที่อยู่ด้านล่างนี้
Ann Wigmore Foundation,
196 Commonwealth Avenue,
Boston, MA 02116-2903,
USA.

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า