สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

อาหารปลอดมูกหรืออาหารชนิดที่จะไม่ทำให้เกิดมูก(Mucusless Diet)

เป็นระบบการเยียวยารักษาโรคด้วยอาหารปลอดมูก เพื่อฟื้นฟูและรักษาสุขภาพที่ดีเอาไว้ ด้วยการกำจัดของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกายให้หมดไปรวมถึงมูกและสารพิษด้วย และป้องกันมิให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาใหม่อีก ก็จะทำให้ร่างกายเกิดความกระชุ่มกระชวยขึ้นเมื่อปราศจากสิ่งปฏิกูลที่เป็นพิษ

การกินผลไม้ดิบและที่ปรุงให้สุก ผักชนิดที่ปราศจากแป้ง กับผักใบเขียวเกือบทุกชนิด ทั้งที่ดิบและที่นำมาปรุงให้สุกถือเป็นองค์ประกอบในหลักการของอาหารชนิดปลอดมูกนี้ และจะประสานการอดอาหารระยะสั้นหรือยาวเข้ากับรายการอาหารชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดมูกขึ้นในร่างกาย โดยการปรับเปลี่ยนมาเป็นอาหารประเภทนี้แทนอาหารแบบเก่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ศาสตราจารย์ อาร์โนลด์ เอห์เรต ซึ่งเกิดในเมืองบาเดน ประเทสเยอรมนี ได้เป็นผู้ที่พัฒนาระบบการเยียวยารักษาโรคด้วยอาหารปลอดมูกขึ้น เขาได้เกิดอาการของโรคเยื่อบุเมือกอักเสบขึ้นอย่างรุนแรงขณะที่ศึกษาอยู่ในวิทยาลัย เกิดการสะสมมูกขึ้นในหลอดลม สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเนื่องจากงานที่ทำให้ฟาร์ม ไปเรียนหนังสือด้วยการเดินทางระยะไกลๆ การกินอาหารตามยุคสมัยนั้น เอต์เรตได้จบการศึกษาเมื่ออายุได้ 21 ปี และได้เป็นอาจารย์สอนวิชาวาดเขียนในโรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ในขณะที่ทำงานเป็นอาจารย์สอนวาดเขียนอยู่ เอต์เรตได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ได้ประมาณ 9 เดือน ก็มีปัญหาเรื่องหัวใจจึงถูกปลดออกและกลับไปสอนตามเดิม และต่อมาเขาได้ป่วยเป็นโรคไบรท์ ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับไตซึ่งมีมูกหรือหนอง มีอัลบูมินในปัสสาวะกับมีอาการเจ็บปวดที่ไตเมื่ออายุได้ 31 ปี เขาได้พยายามรักษาอยู่นานหลายปี โดยใช้หมอไม่ต่ำกว่า 24 คน และต่างสรุปว่าโรคเอต์เรตไม่มีทางรักษาให้หายได้

อาการของเอต์เรตได้ทุเลาลง แต่ไม่หายขาดหลังจากที่ได้ข่าวเรื่องการรักษาโรคแนวธรรมชาติแล้วไปรับการรักษาตามแนวนี้มาสามครั้ง เขาได้ลองรักษาแนวธรรมชาติแบบอื่นๆ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในยุโรปอีกหลายวิธีจนร่างกายไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าป่วยจริง แต่ก็ไม่เรียกว่าสบายดีได้เหมือนกัน อาการของเขาแย่ลงเมื่อได้รับอาหารที่มีเนื้อ นม และไข่ประกอบอยู่ด้วยตามคำแนะนำของหมอ เขาจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปเบอร์ลินแล้วทดลองหาคำตอบด้วยตัวเองโดยการการกินอาหารมังสวิรัติ แต่ผลการรักษาก็ไม่ใคร่ได้ผลนัก

เอต์เรตได้เดินทางไปยังประเทศอัลเจียรส์ ในตอนเหนือของแอฟริกา ในฤดูหนาวถัดมา จากอากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาวจัดกับมีผลไม้สดมากมายจึงช่วยให้อาการของเขาดีขึ้น เขาพยายามอดอาหารเป็นระยะสั้นๆ เพื่อทำความสะอาดร่างกาย ทำให้เขาดีขึ้นทั้งสุขภาพทางกายและจิตใจ เขาสามารถเดินทางไกลด้วยจักรยานจากอัลเจียรส์ไปยังทูนิสเป็นระยะทางถึง 800 ไมล์ได้เพราะมีความอดทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเดินทางนี้มีขึ้นหลังจากที่หมอบอกว่าเขาใกล้ตายเต็มทนแล้ว

เอต์เรตเชื่อว่าการรับประทานผลไม้ไม่ก่อให้เกิดมูกขึ้นในร่างกาย

กับการอดอาหารเป็นวิธีธรรมชาติในการฟื้นสุขภาพและรักษาสุขภาพให้อยู่ในระดับที่ดีกว่าคนทั่วไปหลังจากที่เขาค้นคว้าทดลองอยู่นานหลายปี เขาได้รู้ถึงวิธีการกินอาหารที่ถูกต้องเพื่อที่จะสามารถซ่อมแซมและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายได้ และรู้วิธีการทำความสะอาดร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมให้ออกไปจากร่างกายเนื่องมาจากการกินอาหารชนิดที่ผิดๆ เข้าไป

เป็นเรื่องที่ทราบกันดีในแวดวงของการรักษาด้วยธรรมชาติถึงความคิดเรื่องการกินผลไม้และการอดอาหาร และต่อมาเอต์เรตได้พัฒนาความรู้นี้ขึ้นมาเป็นโปรแกรมที่สามารถใช้ได้ผล และให้ชื่อว่า ระบบการเยียวยารักษาด้วยอาหารปลอดมูก(Mucusless Diet healing System) เขาได้เปิดสถานพักฟื้นบำรุงสุขภาพที่มีชื่อว่า “ผลไม้กับการอดอาหาร(Fruit and Fasting) ขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้ทำการรักษาผู้ป่วยจำนวนมากเป็นพันๆ ราย

เอต์เรตได้เดินทางมาสหรัฐเพื่อสำรวจผลไม้ที่ปลูกที่นั่น โดยเฉพาะในแคลิฟอร์เนีย ในปี 1915 ในระหว่างนี้ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมา เขาถูกบังคับให้พักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเขาได้พบผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานและการค้นพบประเภทเดียวกันกับเขาที่นี่ ได้เริ่มประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ของวิธีนี้กันอยู่ในยุโรป และได้ประสบความสำเร็จดีมาก

ศาสตราจารย์อาร์โนล์ เอห์เรต ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์และมีสุขภาพดีกว่าคนทั่วไป ได้ประสบอุบัติเหตุในลอสแองเจลีส แคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ.1922 เป็นคืนที่ฝนตก หมอกลงจัด เขาได้ลื่นหกล้มศีรษะฟาดบนทางเท้าที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำมัน จนทำให้กะโหลกศีรษะร้าว ซึ่งกว่าจะนำตัวเขาส่งถึงโรงพยาบาลเขาก็สิ้นลมไปเสียแล้ว

“โรคทุกโรค ไม่ว่าจะมีชื่ออะไร อันที่จริงแล้ว มันคือโรคท้องผูก” นี่คือคำสอนของศาสตราจารย์เอต์เรต เขาสอนว่าอุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่และไม่ได้จำกัดออกไป มักเป็นสาเหตุของการสร้างพิษอย่างต่อเนื่องขึ้นในกระแสโลหิตและระบบอื่นๆ ในร่างกาย และเชื่อว่ายังมีอาหารที่ยังไม่ได้ย่อยและถูกกำจัดออกไปในผู้ป่วยทุกคน อาหารที่เกิดการบูดเน่านี้สะสมมาจากการกินอาหารที่ไม่เป็นธรรมชาติมาตลอดชีวิต เอต์เรตมีปรัชญาพื้นฐานของเขาอยู่ว่า “ธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้เยียวยารักษาโรค”

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารตำหรับไร้มูกและระบบการเยียวยาโรคด้วยอาหารชนิดนี้ได้จากหนังสือของศาสตราจารย์เอต์เรต ที่มีชื่อว่า Mucusless Diet Healing System ซึ่งส่วนใหญ่จะมีจำหน่ายตามร้านอาหารสุขภาพทั่วไป รวมทั้งร้านหนังสือและห้องสมุดด้วย

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า