สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ม่านตาอักเสบ(Iritis/Anterior uveitis)

อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้จากภาวะม่านตาอักเสบ โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบมากในวัยหนุ่มสาวม่านตาอักเสบ

สาเหตุ
สาเหตุของการเกิดโรคอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือพยาธิ หรือจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง สาเหตุการติดเชื้ออาจเกิดจากสาเหตุการลุกลามของโรคติดเชื้อภายนอกลูกตา เช่น แผลกระจกตา เยื่อตาขาวอักเสบ เป็นต้น หรือถูกแรงกระแทกที่บริเวณกระบอกตา หรือพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น วัณโรค ซิฟิลิส โรคเรื้อน สมองอักเสบ ไซนัสอักเสบ โรคปวดข้อรูมาตอยด์ หรืออาจไม่พบสาเหตุชัดเจนก็ได้ในบางครั้ง

อาการ
ผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนถึงปานกลางได้ด้วยอาการปวดตา เคืองตา น้ำตาไหล ตามัว อาจจะมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือเกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็ได้ มักเป็นเพียงข้างเดียวเป็นส่วนใหญ่

บางรายเมื่ออยู่ในที่แจ้งจะปวดมากและเมื่ออยู่ในที่ร่มจะรู้สึกดีขึ้น หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนไม่รู้สึกว่ามีอาการเลยก็ได้ในบางราย

ผู้ป่วยมักมีอาการอยู่เพียงไม่กี่วันหรืออาจจะหลายสัปดาห์ และอาจกำเริบขึ้นใหม่ได้หลังจากหายแล้ว หรืออาจมีอาการอยู่นานเป็นแรมเดือนแรมปีในรายที่เป็นเรื้อรัง

สิ่งตรวจพบ
มักตรวจพบว่าบริเวณตาขาวที่อยู่ใกล้กับตาดำของผู้ป่วยมีลักษณะแดงเรื่อ ไม่มีขี้ตา รูม่านตาอาจมีขนาดเล็กกว่าข้างปกติ หรือขอบไม่เรียบ กระจกตาอาจมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย

ภาวะแทรกซ้อน
อาจทำให้มีเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการอักเสบไปอุดกั้นทางระบายของน้ำเลี้ยงลูกตา หรือม่านตากับแก้วตาไม่สามารถยึดติดกันได้จนทำให้กลายเป็นต้อหิน มักพบในรายที่เป็นแบบรุนแรง และไม่ได้รับการรักษา หรืออาจทำให้เป็นต้อกระจกได้ในรายที่เป็นนานๆ

การรักษา
ควรส่งโรงพยาบาลหากไม่แน่ใจหรือสงสัยว่าจะเกิดโรค เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคและให้การรักษาตามสาเหตุต่อไป หากพบเป็นโรคนี้อาจให้ยาหยอดตาที่ทำให้รูม่านตาขยาย เช่น ยาหยอดตาอะโทรพีน ชนิด 1% เพื่อให้ม่านตาได้พักบรรเทาอาการปวด และป้องกันไม่ให้ม่านตาที่อักเสบไปยึดติดกับแก้วตาที่อยู่ข้างหลัง ยานี้อาจทำให้ตาพร่ามัวได้ แต่เมื่อหยุดยาประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็จะหาย และห้ามใช้ยานี้ในคนที่เป็นต้อหิน หรือมีความดันลูกตาสูง จึงควรใช้ตามแพทย์สั่งเป็นรายๆ ไปเท่านั้น ไม่ควรนำไปใช้กับผู้ป่วยคนอื่นๆ

เพื่อลดการอักเสบอาจให้สตีรอยด์ชนิดหยอดตา แต่อาจให้ชนิดกินถ้าเป็นมากๆ และควรให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วยในรายที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย กว่าอาการจะทุเลาอาจใช้เวลารักษานานเป็นสัปดาห์หรือเป็นแรมเดือน

โรคนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะค่อยๆ หายไปเองได้ถ้าเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ถ้ามีการอักเสบรุนแรงควรรักษาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะหายขาดได้ แม้จะมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรังในบางราย

ข้อแนะนำ
อาจมีสาเหตุที่ไม่รุนแรงก็ได้จากอาการปวดตาและตาแดง เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ หรือที่รุนแรง เช่น ต้อหิน แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ และมักตรวจพบว่ากลุ่มโรคที่รุนแรงจะมีอาการปวดตามาก ตามัว รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือกระจกตาขุ่นหรือเป็นฝ้าขาว จึงควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลด่วนหากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าว

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า