สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ความหมายและประเภทของการนวด

การนวด(massage) หมายถึง การสัมผัส มาจากคำว่า “massien” ในภาษากรีก ส่วนในภาษาลาตินจะใช้คำว่า “manus” ซึ่งหมายถึง การรักษาด้วยมือ(hand management) แต่ความหมายโดยรวมของการนวดก็คือ การใช้มือกระทำอย่างเป็นระบบตามหลักวิทยาศาสตร์ต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ทำให้การหมุนเวียนของเลือด การถ่ายเทน้ำเหลืองในร่างกายดีขึ้น

ประเภทของการนวด
ในการรักษาความเจ็บป่วย การนวดก็เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ใช้กันมาอย่างช้านานนับศตวรรษ ในประวัติศาสตร์ ตำรา วรรณคดี ตำราแพทย์ ก็ได้บันทึกถึงประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ ไว้ เมื่อด้านอื่นๆ ของสังคมพัฒนาขึ้น การนวดก็มีการพัฒนาให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปเช่นกัน ปัจจุบันทั่วโลกมีวัฒนธรรมการนวดได้หลากหลายวิธี แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

1. การนวดเพื่อแก้ไขระบบลมปราณ
ผลของการนวดประเภทนี้มาจากแนวคิดแบบตะวันออก ซึ่งมีอินเดียและจีนเป็นรากฐาน ซึ่งเชื่อว่าองค์ประกอบของร่างกายคนเป็นดุลยภาพของธาตุทั้งสี่ ทั้งธาตุร้อนและเย็นที่อยู่ทั้งภายนอกและภายใน หรือในกายและจิตใจ ในร่างกายคนยังมีธาตุที่โคจรแปรเปลี่ยนสู่กันและกัน โดยผ่านเส้นสิบที่คนไทยเรียกกัน หรือที่จีนเรียกกันว่า จิวโหลวทั้ง 14 สิ่งที่โคจรคือ เลือดลม หรือที่จีนเรียกว่า ชี่ และญี่ปุ่นเรียกว่า คิ ซึ่งเป็นพลังผลักดันให้ร่างกายดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งมักเรียกกันว่า พลังชีวิตหรือหลังลมปราณ ร่างกายจะมีความปกติสุขเมื่อธาตุต่างๆ มีความสมดุล เส้นสายเดินได้สะดวก แต่เมื่อเลือดลมเดินไม่สะดวก ธาตุต่างๆ เกิดความเสียสมดุลในร่างกาย ก็จะทำให้เกิดโรคขึ้น การนวดประเภทนี้จะช่วยรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นการป้องกันความเจ็บป่วย และจะหาทางแก้ไขให้พลังชีวิตไหลเวียนได้ดีดังเดิมเมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้น การนวดประเภทนี้ เช่น การกดจุด(acupressure) การนวดแบบไทย การนวดแบบญี่ปุ่น(shiatsu) ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถทำให้เลือดลมเดินได้สะดวก พลังชีวิตไหลเวียนได้ดี ทำให้มีสุขภาพที่ดีและอาการเจ็บป่วยหายไปเมื่อนวดแล้ว

2. การนวดเพื่อแก้ไขโครงสร้างของร่างกาย
ส่วนใหญ่การนวดประเภทนี้จะอยู่บนรากฐานของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยจะเลือกพิจารณาแก้ไขส่วนต่างๆ ของร่างกายเท่าที่มองเห็นได้และที่วัดระดับการทำงานได้แน่นอนเท่านั้น จากแนวคิดที่ว่า ร่างกายมีลักษณะคล้ายเครื่องยนต์ การนวดประเภทนี้ เช่น การนวดแบบสวีดิช(Swedish massage) ออสทีโอพาธี(osteopathy) ไคโรแพรคติก(chiropractic) เป็นต้น การนวดแบบสวีดิช จะทำบนผิวเนื้อโดยตรงด้วยการลูบ คลึง บิด ทุบ เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ตึงคลายลง และเพื่อให้มีความหล่อลื่นและนวดได้สะดวกขึ้นก็จะใช้น้ำมันหรือแป้งเป็นตัวช่วย ส่วนการนวดแบบออสทีโอพาธีและไคโรแพรคติกเชื่อว่า ระบบต่างๆ ของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ เกิดจากสาเหตุการบิดหรือเคลื่อนของกระดูกบางส่วน โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง ส่วนใหญ่สองวิธีนี้จะเน้นที่การดัดหรือบิดกระดูกให้เข้าที่ ผู้ที่ให้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านนี้เป็นอย่างดีเท่านั้น

3. การนวดแบบผสมผสาน
การนวดประเภทนี้จะเอาวิธีของแบบตะวันออกและตะวันตกมาผสมผสานกัน เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันค้นพบว่า สิ่งมีชีวิตทุกอย่างเกิดจากการรวมตัวกันของอะตอมจำนวนหนึ่ง มีการสั่นไหว การส่งพลังความร้อนที่มีลักษณะคล้ายคลื่นออกมาอยู่ตลอดเวลาจากภายในอะตอมแต่ละตัว การนวดประเภทนี้มุ่งส่งเสริมให้ร่างกายที่เกิดปัญหามีการไหลเวียนของพลังงานชีวิตและปรับปรุงโครงสร้างของร่างกายด้วย การนวดประเภทนี้ เช่น ไรเคียนเทอราปี(Reichian Therapy) โพลาริตี้(polarity) ไรเคียนเทอราปีจะช่วยแก้ปัญหาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ โดยนำเอาการนวดและจิตบำบัดมาผสมผสานกัน ส่วนการนวดแบบโพลาริตี้ ที่ได้แนวความคิดมาจากอินเดีย และโยคะ จะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการไหลเวียนของพลังชีวิตและการจัดโครงสร้างของร่างกายไปพร้อมๆ กัน

การที่จะมีความรู้และความชำนาญอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการนวดแบบต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเป็นเวลานานหลายปี

ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มุกดา ตันชัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ
อาจารย์อภิชาต ลิมติยะโยธิน
อาจารย์พิเศษสถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า