สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้(Allergic conjunctivitis)

พบเป็นสาเหตุอันดับแรกๆ ของอาการคันตา ตาแดง พบโรคนี้ได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่คันตา

สาเหตุ
มักเกิดจากสาเหตุการแพ้สิ่งต่างๆ เช่น แพ้ฝุ่น ควัน เกสรดอกไม้ ความร้อน ความเย็น ความอับชื้น เครื่องสำอาง ยาหยอดตาที่เข้าปฏิชีวนะ เป็นต้น

อาจพบร่วมกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น ลมพิษ หวัดภูมิแพ้ แพ้อาหาร แพ้ยา เป็นต้น ในบางครั้ง

อาการของโรคนี้มักจะเป็นๆ หายๆ เรื้อรังเป็นแรมปี หรือบางรายอาจมีอาการเฉพาะฤดูร้อน มักพบในเด็กอนุบาลและชั้นประถมต้น เรียกว่า เยื่อตาขาวอักเสบฤดูร้อน

อาการ
ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันตรงหัวตามาก จนต้องขยี้แรงๆ และหนังตาจะบวมและช้ำได้หากขยี้ตามากๆ ตาขาวมีสีแดงเรื่อๆ มีน้ำตาไหล น้ำตาจะมีลักษณะใสในตอนแรกและจะเหนียวในเวลาต่อมา มีขี้ตาลักษณะใสๆ หรือเป็นสีขาวเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีเลย แต่เยื่อตาขาวอาจบวมเป่งเป็นเยื่อใสๆ เกิดขึ้นได้ในรายที่แพ้รุนแรง

สิ่งตรวจพบ
มักตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดงเล็กน้อย และหนังตาบวม

การรักษา
1. เพื่อบรรเทาอาการอักเสบให้ใช้ยาหยอดตา เช่น ยาหยอดตาฮิสตาออป เป็นต้น หรือให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ครั้งละ ½ -1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้ยาหยดตาที่เข้าสตีรอยด์ ถ้าเป็นมาก และควรใช้เท่าที่จำเป็นไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 7 วัน เพราะอาจทำให้กลายเป็นต้อหินเรื้อรังได้ถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ

ควรประคบด้วยน้ำแข็งถ้ารู้สึกคันมาก พยายามอย่าขยี้ตา โดยเอาน้ำแข็งใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดอีกชั้นหนึ่งใช้วางลงบนเปลือกตาที่คัน

2. ควรหาทางหลีกเลี่ยงและสังเกตว่าแพ้อะไร เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอาง ฝุ่น ควัน ละอองเกสร ขนสัตว์ ความร้อน ความเย็น เป็นต้น

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้จะไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายร้ายแรงแต่อย่างใดถึงแม้จะเป็นเรื้อรัง น่ารำคาญ ก็ตาม แต่การใช้ยาหยอดตาที่เข้าสตีรอยด์ติดต่อกันนานๆ ก็อาจทำให้เป็นต้อหินเรื้อรัง หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนมักเกิดขึ้นได้

2. อาจทำให้การอักเสบลุกลามเป็นอันตรายต่อกระจกตาดำได้ถ้านำยาหยอดตาสตีรอยด์ที่รักษาโรคนี้ไปใช้รักษาเยื่อตาขาวอักเสบจากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจึงไม่ควรรักษาโรคตาอักเสบกันเองหรือไม่ควรให้คนอื่นหยิบยืมยาหยอดตาไปใช้

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า