สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

การลดความอ้วนด้วยกรดอะมิโน

กรดอะมิโนและโปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เราจำเป็นต้องรับประทานโปรตีนเพื่อการดำรงชีวิตและเพื่อการมีสุขภาพที่ดี เพราะกรดอะมิโนคือพื้นฐานของโปรตีน และโปรตีนก็คือพื้นฐานของชีวิต

ในความเป็นจริงโปรตีนมีความสำคัญยิ่งกว่าการใช้เป็นอาหารเท่านั้น มันยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของดีเอ็นเอ หรือหน่วยพันธุกรรมย่อยที่สุดของสัตว์โลกทั้งหลาย โดยมีหน้าที่กำหนดลักษณะของโปรตีนที่จะต้องสร้างขึ้นโดยใช้อาหารเท่านั้น

และเป็นสิ่งที่ขาดกันเสียไม่ได้ในขณะที่อาหารก็จะต้องมีโปรตีนประกอบอยู่ด้วย โดยที่ร่างกายจะนำมาย่อยให้กลายเป็นกรดอะมิโนอีกทีหนึ่ง

การใช้ประโยชน์ในเรื่องสุขภาพอนามัยโดยการนำเอากรดอะมิโนมาใช้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อยและธรรมดามาก แต่ในสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้กลับเป็นของต้องห้าม และอาจรวมถึงประเทศอื่นๆ บางประเทศด้วย

กรดอะมิโนจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันในร่างกายของคนเราเหมือนกับอิฐที่ใช้ในการก่อสร้าง เพื่อจะก่อตัวขึ้นเป็นโปรตีนชนิดต่างๆ และโพลีเพ็บไทด์(polypeptide) ชนิดต่างๆ(โพลีเพ็บไทด์ก็คือโปรตีนเล็กๆ อย่างฮอร์โมน) คำว่า “โปรตีน” มาจากภาษากรีก แปลว่า “สิ่งแรก” สามารถพบโปรตีนได้ในเซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกระดูก กล้ามเนื้อ อวัยวะ เนื้อเยื่อ รวมทั้งฮอร์โมนเกือบทุกชนิดที่ใช้ในร่างกาย เพราะโปรตีนเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการเติบโตและสืบพันธุ์ สิ่งนี้ล้วนเป็นผลรวมของกรดอะมิโนชนิดต่างๆ ด้วยกันทั้งสิ้น โดยที่กรดอะมิโนมักจะรวมตัวเข้ากับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดเป็นสารสมบูรณ์ชนิดหนึ่งขึ้นมา ซึ่งในร่างกายจะประกอบไปด้วยโครงสร้างของโปรตีนชนิดที่แตกต่างกันมากว่า 50,000 ชนิดด้วยกัน

ชนิดของกรดอะมิโนมีอยู่ 2 ชนิดคือ ชนิดที่จำเป็น และชนิดที่ไม่จำเป็น ชนิดที่ไม่จำเป็น เพราะว่าร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ไม่จำเป็นต้องได้จากอาหาร ส่วนกรดอะมิโนชนิดที่จำเป็นนั้นร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้และจำเป็นต้องได้จากอาหารที่บริโภคเข้าไป มีกรดอะมิโนที่จำเป็นอยู่ 8,9 หรือ 10 ชนิด แล้วแต่ตำราที่นำมาใช้อ้าง สำหรับที่บอกว่ามี 10 ชนิดนั้น จะประกอบไปด้วย อาร์จินีน, ฮิททิดีน, ไอโซลูซีน, ลิวซีน, ไลซีน, เมธิโอนีน, เฟนีลาลานีน, ธรีโอนีน, ทริพโทแฟน และวาลีน

กรดอะมิโนในธรรมชาติที่จำเป็นเหล่านี้ สามารถพบได้ในอาหาร เช่น เนื้อวัว ไก่ ปลา ไข่ เนยแข็งคอตเตจชีส นม ถั่วเหลือง ผักบางชนิด เมล็ดพืชและถั่วชนิดต่างๆ และในอาหารต่างๆ ก็จะมีกรดอะมิโนชนิดต่างๆ ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป

ในบางคนอาจจะขาดสารเคมีที่จำเป็นสำหรับร่างกายได้เนื่องจากไม่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับนำมาใช้ผลิตสารเคมีเหล่านี้ หรืออาจเป็นเพราะไม่สามารถจะนำเอากรดอะมิโนที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน เช่น บกพร่องด้านโภชนาการ และปัจจัยอื่นๆ เช่น มลภาวะ ปุ๋ยเคมี การปรุงแต่งอาหาร การใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ ชีวเคมีของร่างกายคนๆ นั้น หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมานี้

ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งค้นพบใหม่เกี่ยวกับกรดอะมิโน ซึ่งในปี ค.ศ.1913 ได้มีนักวิจัยที่ค้นพบว่า โรคเพลลากรา(pellagra) ที่ทำให้ผิวหนังเป็นเกร็ด มีอาการท้องเดินและจิตวิปริต เกิดจากการขาดกรดอะมิโน ที่มีชื่อว่า ทริพโทแฟน ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุมาจากการขาดไวตามินบี 3 หรือ ไนอาซิน แม้ว่าไนอาซินจะมีอยู่ในอาหารจำพวกยีสต์ แต่ร่างกายก็สามารถผลิตขึ้นมาได้เองเช่นกัน ซึ่งกระบวนการผลิตไนอาซีนนี้ ต้องเริ่มต้นด้วยการใช้กรดอะมิโนชนิดที่มีชื่อว่า ทริพโทแฟน

การบำบัดรักษาด้วยกรดอะมิโน เป็นวิธีนำไปสู่สุขภาพแบบโฮลิสติค(holistic)หรือแบบครบถ้วน คือเห็นว่า ปฏิกิริยาทางเคมีทุกอย่างที่เกิดกับร่างกายเป็นหน่วยที่สมบูรณ์ที่ต้องมีการปฏิบัติงานร่วมกัน วิธีการบำบัดรักษาด้วยกรดอะมิโนนี้ มาจากความคิดที่จะให้วัตถุดิบที่เหมาะสมที่ร่างกายต้องการแก่ร่างกายในยามจำเป็นในรูปของอาหารเสริม เพื่อสร้างสารที่จำเป็นทุกอย่างสำหรับสุขภาพที่ดีที่สุด

การบำบัดนอกระบบ เป็นการใช้กรดอะมิโนในรูปแบบเสรี คือ กรดอะมิโนบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในรูปที่เป็นผง บรรจุแค็ปซูลหรืออัดเม็ด ที่เรียกว่า อาหารเสริม ซึ่งสามารถนำมารักษาโรคได้หลายชนิดรวมทั้งความผิดปกติของทางร่างกายและจิตใจอีกมากมาย โดยรับประทานควบกับวิตามินเสริมและแร่ธาตุชนิดต่างๆ

ในตอนต้นทศวรรษที่ 1960 การบำบัดรักษาด้วยกรดอะมิโนมีความเป็นไปได้ เมื่อกรดอะมิโนในรูปแบบอิสระมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งสถาบันการแพทย์มีแนวโน้มที่จะพิจารณาการกินกรดอะมิโนในรูปแบบอิสระว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่แพทย์ในปัจจุบันนี้ก็ได้ตระหนักกันมากขึ้นถึงคุณประโยชน์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยกรดอะมิโนในรูปอิสระ เนื่องจากงานของนักวิจัยและผลลัพธ์ที่ได้จากการปฏิบัติของผู้ทำงานด้านการแพทย์ เช่น การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า การหลั่งฮีสตามีนเป็นสิ่งจำเป็น ความรู้สึกสุดยอดทางเพศหรือออแกสซึ่ม(orgasm) จึงจะเกิดขึ้นได้ กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ฮีสทีดีน จะถูกร่างกายเปลี่ยนไปเป็นฮีสตามีน เมื่อมีวิตามินบี 6 อยู่ด้วย ทั้งชายและหญิงที่มีฮีสตามีนต่ำจึงไม่สามารถบรรลุถึงความรู้สึกสุดยอดทางเพศได้ตามปกติ การรับประทานฮีสทิดีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งเสริมเข้าไปก็จะได้ประโยชน์ในด้านนี้ด้วย

ปัญหาทั้งทางร่างกายและภาวะทางอารมณ์ต่างๆ มากมายที่ถูกเรียกว่า โรค จริงๆ แล้วเป็นเรื่องทางชีวเคมี คนที่มีความผิดปกติชนิดต่างๆ จึงสามารถใช้การบำบัดรักษาด้วยกรดอะมิโนให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น ให้รักษาอาการหดหู่ กระวนกระวาย โรคอ้วน ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ โรคหัวใจ แผลในกระเพาะอาหารที่เกี่ยวเพ็บซิน(pepsin) การติดเชื้อไวรัสจำพวกเริม ปัญหาทางเพศ หรือผู้ที่ไม่สามารถอดบุหรี่หรือเลิกสุราได้ ฯลฯ

เดิร์ค เพียร์สัน และซานดี้ ชอร์ ได้ลงรายละเอียดเรื่องการใช้กรดอะมิโนเพื่อประโยชน์ในทางรักษาโรคต่างๆ ไว้เมื่อตอนต้นทศวรรษที่ 1980 ในหนังสือที่มีชื่อว่า Life Extension เพื่อจุดประสงค์ในการชะลอกระบวนการชราภาพ โดยการใช้อาหารเสริมชนิดต่างๆ รวมทั้งกรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ

ในหนังสือเรื่อง The Amino Acid Super Diet นายแพทย์แกรี่ ซิสค์ ได้เขียนจาระไนยไว้ว่า สามารถนำกรดอะมิโนมาใช้สำหรับลดความอ้วนได้ จากการทดสอบโปรแกรมการลดความอ้วนตามตำรับของหมอซิสค์มาแล้วกว่า 10 ปี กับผู้ป่วยมากกว่า 100 คน ผลที่ปรากฏออกมาว่าโปรแกรมนี้ไม่เพียงจะช่วยลดน้ำหนักได้เท่านั้นแต่ยังทำให้สภาพจิตใจของคนเราดีขึ้นด้วย

กรณีของแพทย์หญิงพริสซิลลา สเลเกิ้ล ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่น่าเชื่อถือได้อีกประการหนึ่ง คือ แพทย์หญิงพริสซิลลา สเลเกิ้ล มีอาการหดหู่ซึมเศร้าอย่างรุนแรงมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว เธอได้ตัดสินใจใช้วิธีการรักษาด้วยการวิเคราะห์จิตเนื่องจากเธอเป็นจิตแพทย์ แต่เธอก็ยังไม่หายป่วยแม้จะรักษามาเป็นเวลา 5 ปีและใช้เงินไปหลายพันดอลลาร์แล้วก็ตาม เธอคิดว่าหลังจากกินอาหารบางอย่างก็ทำให้เธอรู้สึกแย่ลง เธอมีความสนใจวิธีการบรรเทาอารมณ์หดหู่ในแบบชีวเคมี และได้เรียนรู้ว่าสารอาหารบางอย่างมีผลต่อเคมีในสมองและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เธอจึงเริ่มใช้กรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดเพื่อรักษาตัวเอง และเธอก็หายจากภาวะดังกล่าวได้ และในหนังสือของเธอที่มีชื่อเรื่องว่า The Way Up From Down ก็ได้บันทึกการรักษาด้วยโปรแกรมนี้ไว้อย่างละเอียด

โรคต่างๆ หลายโรคที่การแพทย์นอกระบบ ได้มีการใช้กรดอะมิโนเพื่อการรักษา เช่น เพื่อควบคุมผื่นที่ผิวหนังใช้ แอล-ไลซีน(L-lysine), ไวรัสเริมใช้ ดีแอล-เฟนีลาลานีน(DL-phenylalanine), บรรเทาหรือควบคุมความเจ็บปวดเรื้อรังด้วยการปล่อยให้เอ็นโดร์ฟีน(endorphine)ยังคงอยู่ในกระแสการหมุนเวียนของเหลวในร่างกาย และสามารถนำมาใช้เป็นยาเพื่อระงับความอยากอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ, เพื่อรักษาอาหารหดหู่ซึมเศร้า โดยการนำแอล-ไทโรซีน(L-tyrosine)มาใช้ควบกับเฟนีลาลานีน, เพื่อช่วยหยุดความอยากแอลกอฮอล์และใช้แก้โรคพิษสุราเรื้อรัง โดยใช้ แอล-กลูตามีน(L-glutamine) นอกจากนี้ก็ยังมีประสิทธิภาพในการยับยั้งความอยากน้ำตาลลงได้ด้วย

แอล-ทริพโทแฟน(L-tryptophan) ใช้เป็นยาที่ช่วยให้หลับได้อย่างดีเยี่ยมในตอนกลางคืน เป็นกรดอะมิโนที่นิยมให้กันมากที่สุด และในตอนกลางวัน จากวารสารแลนเซ็ต(Lancet) ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษได้รายงานว่า แอล-ทริพโทแฟน จะช่วยแก้อาการหดหู่ซึมเศร้าได้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่มีผลข้างเคียง หรืออาจมีบ้างเพียงเล็กน้อย

องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้สั่งให้ถอนกรดอะมิโนชนิด ทริพโทแฟนทั้งหมดออกจากตลาดอย่างถาวร เนื่องจากมีสารปนเปื้อนจากทริพโทแฟนเพียงชุดเดียวจากบริษัทผู้ผลิตรายเล็กที่ไม่มีชื่อในประเทศญี่ปุ่น การบำบัดรักษาด้วยกรดอะมิโนจึงถูกจำกัดอย่างรุนแรง และยังไม่ยอมอนุญาตให้จำหน่ายในสหรัฐฯ แม้ว่าสารนี้ที่ได้จากผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ จะไม่มีสารปนเปื้อน และแม้ว่าจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยอย่างเต็มที่และมีจำหน่ายทั่วโลกก็ตาม

กรดอะมิโนที่สำคัญชนิดหนึ่งอย่างทริพโทแฟน เป็นแร่ธาตุที่เป็นกุญแจสำคัญในโปรแกรมการบำบัดรักษาอาการหดหู่ซึมเศร้าโดยไม่ต้องใช้ยาของ ดร.สเลเกิ้ล และใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมากมาย

เกี่ยวกับการใช้กรดอะมิโนในเชิงบำบัดรักษา มีหนังสือที่ดีเยี่ยมอยู่หลายที่สามารถหาอ่านได้ตามร้านหนังสือ หรือร้านจำหน่ายอาหารสุขภาพและห้องสมุดทั่วไป และมีหนังสือเล่มที่ดีเล่มหนึ่งที่เขียนโดย ดร.โรเบิร์ต เอิร์ดมานน์(Robert Erdmann) กับ ไมเรียน โจนส์(Meirion Jones) ซึ่งมีชื่อว่า The Amino Revolution ก็ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน

เรียบเรียงโดย:สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า