สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

กษัยกล่อนตามคัมภีร์กษัยศาสตร์

โรคกษัยเกิดจากธาตุวิปริต 4 ประการคือ เตโชกษัย วาโยกษัย อาโปกษัย ปัถวีกษัย

1. กษัยกล่อนดิน
โรคกษัยที่เกิดจากปัถวีธาตุ
โดยเส้นกล่อนจะตั้งเป็นก้อนอยู่ตามหัวเหน่าทั้งซ้ายและขวา แล้วเลื่อนไปที่ลูกอัณฑะ ทำให้บวมฟกเจ็บเสียวถึงขั้วหัวใจจับต้องไม่ได้ กินยาชอบก็หดขึ้น ตั้งเป็นก้อนเป็นเถาที่หัวเหน่า ปวดเสียดสีข้างไปจนถึงยอดอก จะเกิดโทษ 11 ประการเมื่อเส้นแทงเข้าเมื่อใด คือ เจ็บเสียดแทง เป็นพรรดึก มีก้อนในท้อง เจ็บปวดทั่วกาย เจ็บเอว มือเท้าชา ขบขัดที่หัวเหน่า ตะโพก สองข้างท้องจะตึงลงไปถึงทวารเบา วิงเวียน ปวดศีรษะ ตาฟาง หูตึง ปวดขัดสีข้าง ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ไม่รู้รสอาหาร อาการดังกล่าวเกิดจากมีเสมหะแห้งอยู่นอกไส้ เกิดพรรดึก เมื่อเริ่มเป็นจะรู้สึกครั้นเนื้อครั้นตัว เบื่ออาหาร รู้สึกร้อนบ้างหนาวบ้าง อยากกินอาหารเปรี้ยวๆ หวานๆ กษัยกล่อนดินเกิดเพื่อเส้นและอุจจาระผูกพรรดึกในปัถวีธาตุให้นึกถึงโรคไส้เลื่อน เหมือนกันในบุรุษและสตรี

กษัยที่เกิดจากเตโชธาตุ
ธาตุทั้ง 4 มีความวิปริตแปรปรวนไปต่างๆ ไม่เป็นปกติ บางทีตั้งในนาภีและอกทำให้แน่นหน้าอก เบื่ออาหาร บางทีทำให้ปวดตามาก บางทีทำให้เหงื่อออกทุกเส้นขน ตาแดง เจ็บยอดอก มักเกิดในเวลาบ่าย ทำให้มีอาการบวมหน้า บวมหลัง บวมเท้า ถ้าบวมทั้ง 3 ฐาน จะรักษาให้หายยาก

2. กษัยกล่อนไฟ
เกิดจากธาตุไฟที่ชื่อ อัคคีมุคคะ พัดไม่ตลอด ทำให้มีอาการวิปริตแปรปรวนไปต่างๆ หากตั้งขึ้นในทรวงอกจะทำให้จุกแน่น ร้อน มีเหงื่อออกทุกเส้นขน

3. กษัยกล่อนลม
โรคกษัยที่เกิดจากวาโยธาตุ
วาโยกษัยนี้เมื่อกำเริบข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ดี เมื่อเวลาเช้าจะเป็นปกติดีและเมื่อตกตอนบ่ายจะทำให้อาการจุก กัด ขบ ตอดในทรวงอก ร้อนในอก ตัวเย็น ปวดในท้องมาก เมื่อบริโภคอาหารร้อนอาการก็จะคลายลง

อาการดังกล่าวอาจเกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีลมอยู่เป็นส่วนใหญ่ ในกระเพาะอาหารมีกรดอยู่มาก กระเพาะอาหารเป็นแผล เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร

กษัยเถา
เกิดจากลมสันทฆาต และลมปัตฆาต เมื่อแล่นเข้าในลำเส้นนั้น มันให้เส้นพองแขวงขวางอยู่หัวเหน่า มาประจบเกลียวข้าง ถ้าผู้ชายจะเป็นข้างขวา ถ้าผู้หญิงจะเป็นข้างซ้าย ทำให้ปวดเสียดมาตามชายโครงถึงยอดอก ปวดในอกมาถึงลำคอ อาเจียนออกมาเป็นน้ำลาย หลังจากอาเจียนจะรู้สึกดีขึ้น มีอาการเหมือนฝีปลวกฝีมะเร็งทวารแต่แตกต่างกันตรงที่เป็นน้ำมูตร ถ้ากินของหวานของคาวมากมักจะเป็นกษัยน้ำมูตรแดงค่อนข้างเหลือง เมื่อตั้งทิ้งไว้จะตกตะกอนเหมือนปูนกินหมาก มีฝีสีมันดำ มักมีอาการเป็นๆ หายๆ อยู่ 12-13 ปี แล้วกลายไปเป็นมานกษัยที่รักษาไม่ได้ จึงต้องแก้ไขเสียตั้งแต่แรกเริ่ม

อาการของโรคนี้เป็นอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ อาจทำให้ไตวายได้ถ้าเป็นเรื้อรัง

กษัยแช่
ลมพัดกลับเข้าเท่าฟองเป็ด ถ้ายืนขึ้นจุกที่หัวตับ ครั้นแก่แล้วถอยลง มันขับออกทางทวารทั้ง 9 แห่งแล้ว ถึงแก่มรณะ

กษัยปลา
เกิดลมจุกเสียดที่หัวตับ ไปทางสะดือ ปวดริ้วๆ รุดๆ สุดกำลังจะหงายจะคว่ำลงมิได้ เสลดน้ำลายไหลออกมิรู้ขาด ให้สะอึกขึ้นมาเจ็บต้องมิได้

กษัยลิ้นกระบือ
เกิดจากลม อาการเกิดจากเลือดในท้อง เมื่อกินของแสลงเลือดดำคล้ำละลายออกให้ปวดยิ่งนัก เมื่อกินน้ำร้อนเข้าไปจะรู้สึกดีขึ้น แต่ก็จะกลับมาปวดอีก

4. กษัยกล่อนน้ำ
โรคกษัยที่เกิดจากอาโปธาตุ
มีอยู่ 3 ประเภทคือ เกิดจากโลหิต เกิดจากน้ำเหลือง เกิดจากเสมหะ หากเกิดขึ้นทั้ง 3 ประเภท หรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะเรียกว่า กษัยโลหิต ในคัมภีร์โชตรัตว่า ถ้าเกิดใต้สะดือ 3 นิ้วในสตรีถือว่าวิตถาร ในคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกาว่า ถ้าเกิดเหนือสะดือ 3 นิ้วในบุรุษและสตรีให้ถือว่าวิตถาร เมื่อบุคคลใดเกิดกษัยจำพวกนี้จำทำให้ปวดขบบริเวณยอดอกแทบขาดใจตาย อาจลามไปถึงตับและหัวใจเหมือนกับฝีมะเร็งทรวงและฝีปลวก

อาการนี้อาจเป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข หรือมะเร็งปีกมดลูกในเพศหญิง ส่วนในเพศชายจะเกี่ยวกับโรคไต มะเร็ง โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ อาจกลายเป็นมะเร็งลามไปที่ปอดหากปล่อยไว้ไม่ได้รักษา

กษัยเลือด ทำให้เป็นเลือดแข็งในท้อง ทำให้เจ็บท้อง เมื่อนวดก็ทำให้หายเจ็บลงได้ เมื่อเป็นมากเข้าจะทำให้ร่างกายซูบผอม ซีดเหลือง

ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดยอาจารย์แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า