สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

โรคลมในคัมภีร์ชวดาร

สาเหตุการเกิดโรคลม
-ลมเกิดโทษ ตั้งแต่สะดือขึ้นมาถึงศีรษะเรียกว่า เบื้องบน ได้แก่ อุทธังคมาวาตา เป็นลมที่พัดขึ้นเบื้องบน และอโธคมาวาตา เป็นลมพัดลงล่าง ที่พัดลงไปจนถึงปลายเท้า เมื่อลมทั้งสองระคนกัน จะทำให้โลหิตร้อนเหมือนไฟ ในวันหนึ่งๆ จะเกิดได้เป็น 100 ครั้ง ทำให้มีความผิดปกติของอาการทั้ง 32 คือ มีความผิดปกติของเตโชธาตุ

ลมทั้งสองที่ระคนกันจนเกิดโทษแก่มนุษย์มีสาเหตุจาก
-อาหารให้โทษ 8 ประการ คือ การบริโภคอาหารมิได้เสมอ กินอาหารมากเกินไป อาหารดิบ อาหารบูดเน่า อาหารหยาบ กินน้อยเกินไป กินผิดเวลา อยากเลือดเนื้อผู้อื่น เหล่านี้เป็นอาหารให้โทษ

ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็เช่น ต้องร้อนแลเย็นยิ่งนักเหตุดังนั้น ลมอโธคมาวาตา จึงพัดขึ้นไปหาลมอุทธังคมาวาต บางทีลมอุทธังคมาวาต พัดลงมาหาลมอโธคมาวาต จึงพัดโลหิตเป็นฟอง อาการ 32 จึงเคลื่อนจากที่อยู่เป็นไข้เยียวยายากยิ่งนัก เพราะอาศัยลมอันหนึ่ง ชื่อหทัยวาตะเกิดขึ้นในน้ำเลี้ยงหัวใจ ลมบังเกิดขึ้นขณะที่ใกล้ตาย ถ้ามนุษย์ผู้ใดมีความตายอันเที่ยง เป็นชีวิตขัยจนสิ้นไปแห่งชีวิตโดยแท้แล้ว เยียวยารักษามิหาย ดังนั้น ถ้าเป็นปัจจุบันโทษให้รวมยาระงับลมในหทัยวัตถุเสียก่อน

ที่ตั้งของลมจรทั้งหลาย
ลมอัมพฤกษ์ อัมพาต
ลมอัมพฤกษ์ อัมพาต จะเกิดในทิศเบื้องต่ำ ลมทั้งสองนี้จะเกิดตั้งแต่ปลายเท้าไปสู่เบื้องบน ทั้ง 6 สรีระกายเกิดความเสียหายเป็นอันมาก อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นฐานที่ตั้งแห่งลมทั้งหลาย อันบังเกิดจรได้ละ 100 ละ 1,000 อัมพฤกษ์ อัมพาต มีครุวนาดุจปืนเป็นที่ตั้งแห่งดินประสิว ลูกกระสุนแลเพลิง จึงแล่นออกจากลำกล้อง ประหารชีวิตสรรพสัตว์ทั้งปวงให้วินาศฉิบหาย อัมพฤกษ์ อัมพาต เหมือนลำกล้อง สิ่งอันประกอบเหมือนลมอันจรนั้นแล

อัมพฤกษ์ อัมพาต ในโรคนิทานคำฉันท์ ได้กล่าวไว้ว่า
-ลมอัมพฤกษ์ อัมพฤกษ์เมื่อกำเริบกล้าไม่กินข้าวปลาอาหาร กินไม่รู้รส เส้นสายต่างๆ เส้นใหญ่เส้นน้อยๆ ก็พลอยพิการไปหมด เกิดเป็นก้อนในท้อง ท้องแข็งเป็นลำ แข็งรอบอก เมื่อจะลุกจะนั่งทั้งยอกแทง ให้ระหวยระทวยใจนอนไม่หลับ ถอยแรงที่ขอดก็ขอด ที่แข็งก็แข็งเป็นเกลียวกลึงขึงไปมา ให้ดูให้ชัดว่าเป็นเกี่ยวกับเลือดลมแปรหรือเส้นเอ็น ถ้ารู้โรคเป็นเอ็นเส้น ให้นวดแก้เส้นที่หดห่อก่อดานเถาชักตึงติ้ว นวดแก้หิ้วไส้ตรึงอก นวดระงับเส้นอัมพฤกษ์จนถึงเท้าจึงคลาย

อัมพฤกษ์มักทำให้เกิดโทษด้วยให้รู้สึกระส่ำระสาย ให้รู้สึกร้อน เย็น เมื่อยเสียวไปทั่ว เส้นเอ็นก่อเป็นก้อนดานเกลียวตั้งแต่เท้าถึงศีรษะ มีจับไข้ในบางครั้ง โทษของเส้นอัมพฤกษ์มี 11 ประการ ถ้าเกิดพร้อมกันจะทำให้อายุสั้น แต่ถ้าเกิดเพียงสี่ห้าเส้นก็พอจะแก้ไขประทังไปได้

จะทำให้เกิดโทษในเส้นเอ็นมีน้ำเหลืองไหล เกิดดานเถาขอดแข็ง มีลมเป็นก้อนเถา เจ็บสีข้าง เกิดพรรดึกในท้อง ปวดเมื่อยกระดูกหลังและบั้นเอว ให้ขัดแข็งตามข้อ เป็นเหน็บที่ตะโพก จุกเสียดแน่นอก กระสับกระส่าย อุจจาระปัสสาวะติดขัด

เมื่อลมอัมพฤกษ์กำเริบ จะทำให้ปวดหัว วิงเวียน หูตึง หน้ามืด ชัก เสียงแหบ ปวดตึงร่างกาย เบื่ออาหาร เนื้อตัวมีกลิ่นเหม็นเขียว ท้องขึ้น มีเสมหะทั้งภายในและนอกไส้ รู้สึกหนาว อยากกินอาหารที่เปรี้ยวหรือหวาน อัมพฤกษ์โบราณว่าไว้อยู่เบื้องซ้าย

-ลมอัมพาต เป็นเส้นอยู่เบื้องขวา เมื่อภินนะพิการเป็นอัมพาตจะเกิดโทษทำให้ แข็งขึงเป็นลำเป็นเถา ชักคู้เข่าทำงอนหง่อ เป็นเหน็บไปจำระ สีข้าง ก็เกิดโทษตีนมือตาย มือเท้าเย็นเป็นเหน็บ มักเสียวเจ็บขัดข้องใจไม่สบาย ระทดระทวยระหวยแรง จะย่างเท้าก้าวเดินก็เสียวขัดข้อย่อมพลิกแพลง โทษกล้ากำเริบแข็งเป็นง่อยเป็นเปลี้ยมักเสียคน บางทีกระทำชักอ้าปากหน้าตากระหยิบลน สูงสันดังหุ่นกลเล่ห์หลักปักระริกรัว พลอยทับโทษลมอังคมังคานุสารีวาตาพิการ มัวสั่นสิ้นทั้งตัวดังปู่เจ้าปีศาจสิง อัมพาตนี้โทษลึกยากจิรงๆ อัมพฤกษ์เป็นเส้นยิ่งถึงโทษหนักก็ยังนานกว่าง่ายกว่า

ทั้งสองเส้นสองกระหนาบศูนย์กลางตัวเป็นเส้นประทาน มีเส้นอัพยาเป็นศูนย์กลาง แม้นเส้นสามตระกูลเป็นตัวกำหนด รู้ชั่วดีในกายคน รู้เป็นแลรู้ตาย เพราะเส้นสายเหล่านี้พิการหรือไม่ หากใครแม่นยำชำนาญวิชาดีๆ เหล่านี้ย่อมทายทักประจักษ์แม่นเมื่อลมแล่นกระทบเส้น สุริยัน และจันทรา พาเหียร(ขวา) พหิหนัก(ซ้าย) แพทย์ต้องรู้วิธีแห่งลมจร วิถีเส้นก็ดูลมอันสมาคมเส้นกล้าหรือหย่อน อัมพาตเมื่อวิกาลเยียวยายากแพทย์ชำนาญ ทั้งนวดยาจักรักษาได้ถ้วนถี่รู้ทางเดียวไม่ใคร่ดี หาอื่นช่วยป่วยการเปล่า ต่างคนก็ต่างแย้งหมอยาแคลงหมอนวดเขลา หมอนวดกินใจเอาว่าวางยาไม่ชอบลม เรียบเรียงเส้นไว้ดียาถูกที่หายนานนม หมอยาก็กล่าวข่มหยูกยาเราวางถึงจอม นวดดีเส้นสายแม่น ป่านนี้แล่นเดินได้พร้อม เหตุฉะนี้เราก็ย่อมยินมามากหมอมารยา

วิธีนวดอัมพาต ให้นวดกลางฝ่าเท้าเป็นที่ตั้ง นวดตลอดไปจนถึงต้นขา ไปจนถึงสายเสียดข้างขวา ทั้งบั้นเอวให้เอ็นอ่อนประทับเส้นอัมพาตข้างขวามากให้ยืดหย่อน เผยลมให้แล่นร้อนนวดให้ถอยถึงเดิมดี นวดหลังกระทั่งไหล่ ไคลตามแขนข้างขวานี้ เบื้องซ้ายนวดตามนี้ ประสบพลอยพอเป็นการทำฉะนี้สี่สามหน แล้วจึงปรนกินยา

ปัจจุบัน อัมพฤกษ์ อัมพาต สองคำนี้นำมาใช้กันซึ่งมีความแตกต่างกันไปบ้าง แต่ไม่มีการจำเพาะว่าข้างซ้ายหรือขวา แต่โบราณว่าอัมพฤกษ์เป็นเส้นที่อยู่ทางซ้าย เป็นแนวทางเดินของเส้นน้อยใหญ่ หากมีการขัดข้องจะเกิดโทษมาก ส่วนเส้นอัมพาตจะอยู่ทางขวา มีอาการหนักกว่าอัมพฤกษ์ แต่ในปัจจุบันจะรู้ว่าทั้งสองโรคนี้เกิดจากมีเลือดไปเลี้ยงสมองหรือประสาทไม่ดี อาจเกิดจากเส้นเลือดตีบ ตัน หรือแตกด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ความดันสูง ผนังหลอดเลือดผิดปกติจากไขมันในเลือดมีสูง หรือผนังหลอดเลือดตีบ ตัน เปราะ หรือแตกง่าย อาจมีอาการไม่มาก หรือเป็นแบบชั่วคราวในครั้งแรกๆ เซลล์บริเวณใกล้เคียงอาจทำงานแทนได้ แต่จะไม่สามารถคืนสภาพได้อีกเมื่อเกิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง ปัจจุบันพวกแรกจึงใช้คำว่าอัมพฤกษ์ พวกหลังที่ตายสนิทจะใช้ว่าอัมพาต โดยไม่แยกว่าอยู่ข้างซ้ายหรือขวา

ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดยอาจารย์แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า