สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

โรคบาดทะยัก (Tetanus)

โรคบาดทะยัก (Tetanus)

ตามความเป็นจริง WHO expert committee on zoonoses ( 1982 )ไม่จัดโรคบาดทะยัก (tetanus) และ clostridial wound infection เป็น zoonoses ส่วน C. botulism ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิด clostridial food poisoning นับว่าเป็น zoonoses พวก saprozoonoses แต่เนื่องจากโรคบาดทะยักและ clostridial wound infection เป็นโรคที่เกิดจาก Clostridium ซึ่งคนและสัตว์ติดเชื้อมาจากแหล่งเดียวกัน และโรคดังกล่าวนี้มักจะพบเสมอในคนและสัตว์ในประเทศไทย


ประวัติและสาเหตุ

ปี ค.ศ. 1884 Nicolaier ได้นำดินมาละลายในน้ำ และเอาส่วนที่เป็นน้ำฉีดเข้าไปในหนูไมซ์ หนูตะเภา และกระต่าย ปรากฎว่าสัตว์แสดงอาการเป็นโรคบาดทะยักออกมา ต่อจากนั้นมาอีก 5 ปี Berlin ได้ทำการแยกเชื้อ Clostridium tetani จากสปอร์โดยนำสปอร์ไปให้ความร้อนที่ 81 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 – 60 นาที แล้วจึงนำไปเพาะเชื้อในสภาพที่ไม่มีอ๊อกซิเจน เชื้อ C. tetani เป็นพวกบาซิลลัสที่มี แฟลกเจลล่ารอบตัว เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย รูปสปอร์มีลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง คือ ปลายข้างหนึ่งจะมีลักษณะกลมใหญ่ขึ้นมา เป็นแบคทีเรียที่ไม่ต้องการอ๊อกซิเจน

ระบาดวิทยา

คน

ระยะฟักตัวของโรคผันแปรจาก 2 – 3 วัน จนกระทั่งเป็นหลายสัปดาห์ อาการทั่วๆ ไปที่เห็นได้ชัด คือมีกล้ามเนื้อกระตุก และมีลักษณะของกรามแข็งหรืออ้าปากไม่ได้ (lockjaw ) หลังจากนั้นจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ คอ แขน ลำตัว และขา การกระตุกครั้งแรกๆ อาจมีเป็นระยะ และต่อไปจะกระตุกตลอดเวลา อาการกระตุกจะมากขึ้นถ้ามีเสียงดัง หรือแสงสว่างมากระตุ้น ในที่สุดผู้ป่วยจะตายเนื่องจากหายใจไม่ได้ทำให้ขาดอ๊อกซิเจน โรคนี้มีรายงานเป็นในทารกคลอดใหม่ที่ตัดสายสะดือไม่สะอาด และใช้ยากลางบ้านใส่แผล

การติดต่อ

การติดต่อของโรคเกิดได้จากสปอร์เข้าทางบาดแผลของผิวหนัง ในสหรัฐอเมริกาเคยมีรายงานผู้เป็นบาดทะยักในคนติดยาเสพติด ที่ใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด แผลที่ถูกตะปูตำหรือไม้ตำ แผลไฟไหม้หรือแผลผ่าตัด หรืออาจเข้าทางช่องคลอด เนื่องจากมีแผลมาจากการขูดมดลูกหรือทำแท้ง สปอร์ซึ่งคงทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อเมื่อเข้าไปในบาดแผลแล้วจะเปลี่ยนมาเป็นรูปตัวเชื้อ (vegetative form) จะปล่อย tetanolysin และ tetanospasmin ซึ่งมีคุณสมบัติทำลายเม็ดเลือดและทำลายประสาทจึงทำให้เกิด อาการของโรคขึ้น โรคนี้พบในเพศชายบ่อยกว่าเพศหญิงส่วนมากพบในเขตชนบทบ่อยกว่าในเมืองหลวง ในบริเวณที่เลี้ยงม้าหรือในอุจจาระม้าพบว่ามีเชื้อ C. tetani ดังนั้น บุคคลที่ดูแลม้าหรือคลุกคลีอยู่กับสัตว์พวกนี้จึงมีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าผู้อื่น ในประเทศสหรัฐอเมริกามักพบผู้ป่วยเป็นในฤดูร้อน และเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วง และส่วนมากพบในรัฐที่อยู่ทางตอนใต้ เช่นในมณรัฐฟลอริดาและอลาบาม่าพบ 1.5 และ 1.3 ต่อแสนของประชากร (Axnick and Plexander, 1957) ส่วนมากพบในพวกนิโกรบ่อยกว่าพวกผิวขาวประมาณ 5 – 6 เท่า สำหรับในประเทศไทยมีผู้ป่วยประมาณ 1,000 – 2,000 รายต่อปี ในปี พ.ศ. 2521 มีผู้ป่วย 2,168 ราย และตาย 455 ราย ส่วนมากพบในวัยหนุ่มสาวมากและอาชีพของผู้ป่วยส่วนมากทำการเกษตรกรรม เพศชายเป็นมากกว่าเพศหญิง การที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในประเทศไทยเป็นแรงงานชายเสียส่วนมากและการทำงานอาจมีอุบัติเหตุทำให้เกิดแผลตามมือและเท้าได้ ดังนั้นผู้ชายจึงมีการเสี่ยงต่อโรคบาดทะยักมาก สำหรับเด็กแรกเกิด 1 เดือน มีแนวโน้มของการเป็นโรคเพิ่มขึ้น

สัตว์

สัตว์ที่เป็นโรคบาดทะยักมาก คือ ม้า ซึ่งเป็นมากกว่าโค 50 เท่า มักมีบาดแผล ซึ่งอาจเกิดจากการทิ่มตำจากวัตถุ หรือจากอุบัติเหตุ หรือเกิดจากการตอน การผ่าตัดก็ตามมักพบเสมอว่าเป็นบาดทะยัก ในโค กระบือ และแพะแกะก็เช่นเดียวกัน เป็นโรคโดยเชื้อเข้าทางบาดแผล สำหรับในสุนัข และไก่งวงมีความต้านทานต่อ นิวโรท๊อกซินของเชื้อนี้ได้ดีมากจึงไม่ค่อยพบโรคนี้ในสัตว์ดังกล่าว

การสังเกตอาการของโรคในระยะเริ่มแรกในสัตว์สำคัญมากโดยเฉพาะในม้า อาการเริ่มแรกม้าจะไม่อยากเคลื่อนไหว แต่อาหารคงกินเป็นปกติ ต่อไปจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ และถ้ายืด คอ หัว และหางออกจะมีอาการเกร็ง การกระตุกของกล้ามเนื้อจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเมื่อทำเสียงดังให้เกิดขึ้นใกล้ๆ สัตว์ป่วยจะหายใจตื้นและถี่

เชอ C. tetani พบมีทั่วไปตามพื้นดิน โดยเฉพาะในบริเวณที่ม้าอาศัยอยู่

การควบคุมและป้องกัน

การป้องกันที่ดีคือให้ท๊อกซอยด์ (toxoid) สำหรับในทารกที่เกิดมาใหม่ๆ อาจป้องกันได้โดยให้ active immunization กับแม่ก่อน โดยวิธีนี้ลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่โดยผ่านทางรก วิธีนี้ใช้ปฏิบัติกันในบ้านเรา สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค เช่น สัตวแพทย์ ผู้ดูแลสัตว์ทดลอง เกษตรกร หรือผู้มีบาดแผลควรได้รับ

ท๊อกซอยด์สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค การให้ความรู้แก่มารดาในเรื่องการตัดสายสะดือทารกแรกเกิด โดยวิธีการปราศจากเชื้อจำเป็นอย่างยิ่ง การรักษาโดยให้แอนตีท๊อกซินที่เตรียมมาจากคนให้ผลดีกว่าเตรียมมาจากม้า เพราะภาวะแทรกซ้อนหรืออาการแพ้ไม่ค่อยมี และอีกประการหนึ่ง halflife ของโกลบูลินในของคนจะอยู่นานกว่าของม้า แอนตีท๊อกซินควรให้ในรายที่ยังไม่เคยได้รับ active immunization มาก่อน เมื่อคนมีบาดแผลถูกหนามตำ หรือถูกสัตว์กัดควรให้ท๊อกซอยด์จะช่วยป้องกันโรคได้

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า