สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

วิธีสร้างสมดุลหยิน-หยาง

อาหารหยินมีแนวโน้มที่จะทำให้ร่างกายเย็น กล้ามเนื้อเหลว อ่อนปวกเปียก ลด ความเครียด ทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง ยืดเวลาการนอนหลับ ทำให้อุจจาระเหลวและ มีสีอ่อนลง ปัสสาวะมาก บ่อยครั้งสีจาง ถ้าหากกินอาหารหยินมากเกินพอดีกับสภาพร่างกาย ขณะนั้นมักจะทำให้เหนื่อย โลหิตจาง ซีด เบื่ออาหารและพูดช้า หากสภาพร่างกายเดิมเป็นหยิน อยู่แล้ว การกินอาหารหยินมากเกินไปยิ่งจะทำให้สุขภาพร่างกายแย่หนักลงไปอีก ด้านอารมณ์และความคิดนั้น อาหารหยินจะทำให้เกิดอารมณ์และความคิดหยิน ได้แก่ กลัว ระแวง ใจอ่อน กังวลและใจน้อย เป็นต้น

อาหารหยางมีแนวโน้มจะทำให้ร่างกายอบอุ่น กล้ามเนื้อกระชับ แข็ง ทำให้เกิด ความเครียด เร่งการเคลื่อนไหว ลดเวลานอนให้น้อยลง อุจจาระแข็งและคลํ้าขึ้น มีไข้ใบหน้าแดง ท้องผูกและพูดเร็ว อาหารหยางจะทำให้เกิดอารมณ์และความคิดหยาง ได้แก่ ความเป็นปฏิปักษ์ ความก้าวร้าว เสียงดังเอะอะ และไม่มีความเมตตาปราณี อาการเหล่านี้จะไม่ปรากฏออกมาทันทีทันควัน หรืออาจจะไม่ปรากฏออกมาเลยก็ได้ แต่ถ้ากินอาหารหยินหรือหยางมากเกินไปเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน จะเริ่มเห็นอาการที่บอกถึง ความไม่สมดุลเหล่านี้ อาหารทุกอย่างมีปัจจัยหยินและหยางอย่างหนึ่งอย่างใดมากเกินไปเสมอ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นกลาง ถ้าหากกินอาหารที่เป็นหยินมากเป็นส่วนใหญ่ ร่างกายก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหยินไปทีละน้อย และในทางกลับกัน หากเรากินอาหารที่เป็นหยางมากเป็นส่วนใหญ่ร่างกายก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหยางไปทีละน้อย

ถ้าหากปฏิบัติตามหลักการกินตามแมคโครไบโอติกประมาณ 10-15 วัน เลือดจะ สะอาดขึ้น หากกินอาหารเบี่ยงเบนไปจากสมดุลของหยิน-หยางเพียงเล็กน้อยก็จะแสดง อาการต่างๆ ออกมาโดยทันที เพราะร่างกายมีความไวกับความสมดุลมากขึ้น ดังนั้นทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้การกินของเราสมดุลก็คือ การกินธัญพืชครบส่วน เช่น ข้าวกล้องที่ไม่ผ่านการขัดสี 50-60% ของอาหารทั้งหมดในแต่ละมื้อ จะทำให้เลือดรักษาดุลของแร่ธาตุเอาไว้ได้ ส่งผลให้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติคและพาราซิมพาเทติคทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษาดุลการหลั่งฮอร์โมนระหว่างต่อมต่างๆ เอาไว้ตามปกติ เมล็ดธัญพืชที่ไมขัดสี เป็นอาหารที่สมดุลที่สุดสำหรับการกินของมนุษย์ เป็นวิวัฒนาการสูงสุดของพืชที่ธรรมชาติ มอบให้ เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ที่เป็นวิวัฒนาการสูงสุดของสัตว์

การกินอาหารให้สมดุลดีนั้นต้องกินผักตามฤดูกาลและผักที่ปลูกในท้องถิ่นให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะจะทำให้ร่างกายมีความสมดุลกับสิ่งแวดล้อมตามฤดูกาลซึ่งร่างกายต้องการ เป็นพิเศษเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อาหารก็ต้องปลูกขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ด้วยเช่นกัน ในประเทศที่กำลังก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นเรื่องนี้จะทำได้ยาก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประชากร ในประเทศดังกล่าวมีโรคเกี่ยวกับความเสื่อมของร่างกายมากกว่าประเทศอื่นๆ การกินอาหารตาม ฤดูกาลและมีในท้องถิ่นนั้น ธรรมชาติจะให้สิ่งที่จำเป็นแก่ร่างกาย ในเขตหนาว ชาวเอสกิโมจำเป็น ต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น และพื้นที่ที่พวกเขาอยู่มีพืชน้อยมาก ในเขตร้อน พืชผัก ผลไม้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำให้ร่างกายเย็น หากให้ชาวเอสกิโมกินผลไม้เมืองร้อนเป็นส่วนใหญ่ หรือให้ชาวเกาะในทะเลตอนใต้กินเนื้อวัวมาก คนทั้งสองกลุ่มนี้จะเสียดุลและล้มป่วยได้อย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สาร เคมี เช่น สารกันบูด สารปรุง แต่ง สี ผสม อาหาร เหล่านี้เป็นอาหารที่ ผ่านการ แปรรูปมามาก มีคุณสมบัติ เป็นหยินอย่างสุดโต่ง และเป็นการยากมากที่จะทำให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยอาหารที่มีคุณภาพสูงกว่า เช่น อาหารที่ปลูกตามธรรมชาติ ดังนั้นไม่ควรกินอาหารที่สุดขั้วทั้งหยินและหยาง หรือหยิน หรือหยางมากเกินไปเพราะทำให้ยากแก่การปรับสมดุล และมักทำให้ร่างกายเจ็บป่วยง่าย

โดยสรุป อาหารประจำวันในปัจจุบันของคนส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาหารทั้งที่เป็นหยินและหยางมาก ถ้าหากเรากินอาหารในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นประจำ เราก็จะอยากอาหาร ในอีกกลุ่มโดยอัตโนมัติ เนื่องจากเราทุกคนกำลังสร้างสมดุลระหว่างหยิน-หยาง แต่โดยส่วนใหญ่การสร้างความสมดุลทำไปโดยสัญชาตญาณ โดยไม่รู้ตัว (ไม่มีสติสัมปชัญญะ) โดยเฉพาะอาหารที่สุดโต่งทั้งหยินและหยางเป็นประจำ มันเป็นอาหารที่ยากจะทำให้สมดุลได้หลังจากที่ กินอาหารประเภทนี้มาสัก 10 หรือ 20 หรือ 30 ปี จะทำให้สภาพร่างกายไม่เป็นหยินมากเกินไป ก็ต้องเป็นหยางมากเกินไป หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง เป็นอาหารที่ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลเรื้อรังที่ สับสน อลหม่านมาก เพราะทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ขึ้นมา หรือทำให้เกิดสภาพด่างเเบบนํ้านมอ่อนๆ ทว่าอาหารแมคโครไบโอติกนั้นจะรักษาเลือดให้อยู่ในภาวะปกติคือ ค่าความ เป็นนกรด-ด่าง (pH) ที่ 7.194

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า