สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ลักษณะอาการใกล้ตายของผู้สูงอายุ

ลักษณะอาการของผู้สูงอายุเมื่อใกล้ตายตามคัมภีร์มรณญาณสูตมีดังนี้

1. อาการรับรู้เมื่อใกล้ตาย
สิ่งที่โบราณสังเกตเมื่อจะเสียชีวิตได้แก่ ดอกบัวของนางนั้นก็ใหญ่กว่าเก่า ดอกจงกลนีนั้นก็เหี่ยวหดเข้า ยักเยื่อแลดินนั้นก็ดำเพราะหาไฟมิได้ ไอปากหม้อข้าวนั้นก็กลับเย็น แมลงผึ้งพึงเคยเอารสเกสรนั้นก็ตายสิ้น เปลือกไม้แลเครือเขาเถาวัลย์อันเกี่ยวต้นไม้นั้นก็เหี่ยวระหดลง อันว่าพวงดอกไม้เคยหอมรสนั้นก็เฟ็ดขึ้น ธงชัยประดับด้วยพรวนทองนั้นมีไฟแล้วก็แข็งกระด้างไป เท้ากรรณของนางอันโก่งไว้นั้นก็ลดลง ม่านอันปิดกำบังที่นางเคยเสวยนั้นก็เฟ็ดขึ้น รวงผึ้งอันรู้รสก็หดเข้าดุจหนังทรายอันตากแดด สุนัขเสือกินทุกวัน ครั้นคาบได้เนื้อก้อนใหญ่แล้วก็แล่นหนีไปจากสถานที่นั้น เห็นคนก็วิ่งไปด้วยกำลังเร็ว ทองหล่อลงน้ำ น้ำก็ร้อนทองก็กลับเย็น หุงข้าวติดไฟ ไฟก็ดับหม้อก็ร้อน ผึ้งในโพรงไม้ก็หนีสิ้นมิได้ยินสำเนียงเสียงอื้ออึง แก้วสุระกายยอดประสาทอันช่วงโชติก็อับแสง ใบตาลอันเหี่ยวแห้งดวงแดดประทีปในปรางก็ดับสิ้น แล้วนางก็จะสิ้นเข้านิทรา บัดเดี๋ยวหนึ่งจึงออกจากวิมานไปตามกำหนดแต่หนหลังนั้นแล

เนื้อความที่วิเคราะห์ได้มีว่า อาการก่อนตายมีจินตนาการว่า อวัยวะเพศหญิงขยาย อวัยวะเพศชายจะหดเล็กลง อุจจาระและปัสสาวะที่ออกมามีสีดำ เมื่อจะตายจมูกก็เฟ็ดขึ้น ผิวหนังเหี่ยวหด หนังตาแข็งหลับไม่ลง คิ้วทั้งสองข้างลดลง ริมฝีปากเฟ็ดขึ้น ลิ้นหดพูดไม่ได้

2. ก่อนจะตายใน 3-5 วัน จะมีอาการประสาทหลอน
-อาการประสาทหลอนทางการมองเห็น เห็นพรรณ ดำ แดง ขาว กลมกลิ้งออกไป เห็นแดงจำรัสแลสีเหลืองกลิ้งออกไป เห็นเขียวกลมดังลูกผักปลัง เขียวยาวดังลูกมะม่วงกลิ้งออกไป เห็นสีมนเป็นสามมน แลพรรณเป็นสายละลอกแลปูมเปือกกลิ้ง เห็นดังพระจันทร์กลิ้งออกไป คือพลธาตุขาด เห็นหญิงเอาไฟออกไปตามน่าต่าง คือไฟธาตุดับสูญแล้วจะตายในวัน เห็นหญิงทะลุหลังคาลงมา ครั้นถามหญิงมิได้พูด คือนางกาลมาสำแดงอาการให้เห็น ผู้นั้นจะตายในยามวันนั้นแล

ประการหนึ่งจะเห็นเป็นรูปเสือ หมี งู คนถือดาบไล่ฆ่าฟัน มองเห็นคนที่นุ่งห่มผ้าแดงประดับอาภรณ์แดงมาเรียก แล้วกลายเป็นผู้หญิง คือเป็นพระยามัจจุราชมาสำแดงให้เห็นเมื่อใกล้เสียชีวิต หากเห็นเงาแปรกับตะวัน เห็นพระอาทิตย์ เห็นไฟ มีน้ำมูตรสีดำ ผู้นั้นจะตายใน 2 เดือน หากผู้ใดเห็นกระต่ายในพระจันทร์ยาวเบี้ยวไม่ปกติจะตายภายใน 5 วัน

-อาการประสาทหลอนทางการได้กลิ่น เมื่อยังอีก 3 วันจะตาย ดอกบัวของนางก็ใหญ่กว่าเก่า แลดอกจงกลนีก็หดเข้านั้น คือว่าโยนีของหญิงจะผายใหญ่กว่าเดิม ถ้าชายเล่าคุยหะถานก็หดเข้า อุจจาระปัสสาวะที่ออกมาก็ดำ เมื่อใกล้ตายจมูกจะเฟ็ดขึ้น ผิวหนังเหี่ยวหด หนังตาแข็งหลับลง เต้าก็ลดลงนั้นคือ คิ้วลดลงทั้งสองข้าง ม่านกำบังที่เสวยก็เฟ็ดขึ้นคือ เมื่อใกล้ตายริมฝีปากจะเฟ็ดขึ้น ลิ้นหดเข้าพูดจาไม่ได้

จมูกไม่รู้กลิ่น โสตประสาทขาดไม่ได้ยินเสียง จะตายใน 2 เดือน ชิวหาประสาทขาด ลิ้นไม่รู้รสจะตายใน 5 วันหรือ 5 ปี เมื่อตายปลายลิ้นจะเข้าในปาก ลิ้นเหี่ยว ประสาทตาแข็งกระด้างไม่มีไฟ หูทั้งสองแข็งกระด้าง ตาขาวเป็นน้ำข้าวไม่แสบร้อน เหงื่อออกทั่วกาย มีอาการทุรนทุราย

3. อาการทางจิตเมื่อใกล้ตาย
หากเคยใจดีก็จะกลายเป็นขี้ใจน้อย ขี้โกรธ หากเคยเป็นคนขี้น้อยใจก็จะเปลี่ยนเป็นคนใจดี และจะตายภายในปีนั้น

เห็นต้นไม้พึ่งงอกขึ้นริมต้นไม้ที่นางอยู่ แลเกลียดดังผีเสื้อแลกิ้งกือนั้น เห็นทารกน้อยๆ พึงเกลียดชัง ไข้น้อยอยู่แลใจระส่ำระสายยิ่งนักหนา

4. อาการทางกายเมื่อใกล้ตาย
เมื่อใกล้ตายแขนขาจะใหญ่ มีไข้และไอ ก่อนตายในวันรุ่งขึ้นจะไม่มีอาการ มีอาการจาม ถอนหายใจ ลิ้นคอแห้งพูดจาไม่ชัด ในตาเห็นเป็นไฟ หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส องคชาติไม่ทำงาน จะเสียชีวิตใน 11 ปี

5. ความเชื่อเกี่ยวกับการไปเกิดใหม่
คนโบราณมีความเชื่อถึงโลกหน้าที่จะไปเกิด ตามคัมภีร์มรณญาณสูต 5 ประการดังนี้
ถ้าเห็นกองไฟ เปลวไฟ จะไปสู่นรกทนทุกข์เวทนา
ถ้าเห็นมืดเหมือนกลางคืน จะไปเป็นเปรต
ถ้าเห็นป่ารกชัฏกลางป่า จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน
ถ้าเห็นก้อนเนื้อหรือชิ้นเนื้อ จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าเห็นดาว เดือน ฉัตร ธง จะได้ไปเกิดในสวรรค์เทวะโลก

6. ลักษณะของธาตุทั้ง 4 ที่แปรไป
เมื่อใกล้จะตายธาตุทั้ง 4 จะแปรไป ตามคัมภีร์มรณญาณสูตมีดังนี้
เตโชธาตุแปร ทั้งชายหญิงจะกลัดอกหัวใจและไอ เป็นมองคร่อ ท้องตีนบวมมือหน้าตาแลท้องดาล

วาโยธาตุแปร ท้องขึ้น เมื่อกินอาหารเข้าไปจะอาเจียน หรืออาเจียนเป็นลม มีก้อนลมในท้อง

อาโปธาตุแปร ปวดถ่ายปัสสาวะและอุจจาระบ่อยๆ แต่ถ่ายครั้งละไม่มาก

ปถวีธาตุแปร ปวดท้อง ปวดตามเนื้อตัวทั่วร่างกาย

อาโปธาตุ มีอาการผอมเหลือง เบื่ออาหาร

เตโชธาตุ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะมีหน้าท้องบวม มีผดผื่นขึ้นทั่วตัว ปวดท้อง ตกเลือดเป็นหนอง มือเท้าไม่มีความรู้สึก ถ้าแก้ไม่หายภายใน 15 วันก็จะตาย ถ้าไม่ตายให้แก้ด้วยยาสำรวมธาตุ 3 ปีจึงจะรอด

7. ธาตุออกจากตัว
วาโยธาตุออกจากตัว จะทำให้หูตึง ตาเห็นแสงระยิบระยับ มือเท้าทั้งสองข้างจะไม่มีความรู้สึก เข่าบวม เป็นตะคริว คันตามตัว สันหลังเบี้ยว เป็นฝีเอ็นที่เท้า อาเจียน

อาโปธาตุออกจากตัว มีอาการจุกอก แน่นท้อง เจ็บท้อง ปวดบริเวณหัวเหน่า ถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ออก ปวดเสียดสีข้าง ถ้าเป็นชายจะเสียดข้างขวา หญิงจะเสียดข้างซ้าย เบื่ออาหาร

ปถวีธาตุออกจากตัว ปวดท้อง แน่นท้อง เบื่ออาหาร ปวดสันหลัง เป็นริดสีดวงทวาร เป็นอันฑะพฤกษ์ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะลำบาก จะตายภายใน 5 วันถ้าแก้ไขไม่ทัน

ไม่ว่าจะเป็นเตโช วาโย หรืออาโป จะเริ่มเกิดขึ้นมาด้วย ปถวีธาตุก่อน จึงควรพิจารณาและแก้ไขให้ถูกต้อง

ธาตุทั้ง 4 สำรวมกันอยู่ดี แลจำเพาะเลือดตกทวารทั้ง 9 แห่ง แลให้ไอกลางวันกลางคืนก็ดี แลแก้เสมหะอันมิปกติ แลเจ็บทวารหนักเบาเจ็บอกเจ็บท้องฝีในไส้ แก้ทั้งฝ่ายลม แก้ทั้งสะอึกแลรากหืด แลพยาธิอันเกิดทั้ง 6 จำพวกฤดูแล

ถ้าอยู่ในเงื้อมมือพระยามัจจุราชแล้ว วิญญาณจะออกจากร่าง จะเห็นว่ามือ ผุดลุก ระส่ำระสาย พลิกซ้ายพลิกขวา

เมื่อจะดับสูญนามรูป จะทำให้หน้าเฟ็ด จมูกเฟ็ด หน้าผากตึง หูดับ ได้กลิ่นเหม็นสาบสางด้วย

เมื่อจะดับสูญ สฬายะตะนะทั้ง 6 จะทำให้อ่อนเพลียนอนซม ผอมไม่มีแรง

เมื่อผัสสะจะดับสูญ จะทำให้กระสับกระส่าย เมื่อยเจ็บในกระดูก เจ็บคอ และส่วนอื่นที่ติดต่อกันด้วย

ถ้าตัณหาจะดับสูญ จะทำให้ยกมือไม่ขึ้น องคชาตไม่ทำงาน ซึ่งอยู่ในเงื้อมมือของพระยามัจจุราชแล้ว

เมื่ออากาศธาตุออกจากตัว จะทำให้ข้างเบื้องต่ำลดลง และอาการที่ในนามรูปทั้งปวงก็เป็นด้วย และจะตายในยามนั้น

ถ้าอาโปธาตุดับ จะทำให้เหงื่อออกที่หน้าผากจนถึงคอ ให้เหงือกเหนียว ปัสสาวะมาก ผู้นั้นจะตายในเวลาเย็น หรือเที่ยงคืน

ถ้าเตโชธาตุออกจากตัว จะทำให้ร้อนทุรนทุราย ตามองไม่เห็น และจะตายในเวลาเที่ยง

ถ้าปถวีธาตุออกจากตัว จะทำให้ลงท้อง และตายในเวลาเย็น

อาการนำไปสู่ระยะสุดท้ายของชีวิตที่การแพทย์แผนปัจจุบันได้อธิบายไว้มีดังนี้คือ อาการเป็นลม หมดสติ ช็อก หัวใจวาย ไตวาย ตับวาย ระบบหายใจล้มเหลว และสมองไม่ทำงานหรือตาย

1. อาการเป็นลม
คนไข้จะมีอาการวิงเวียน หน้ามืด หมดสติ ในแผนปัจจุบันแบ่งเป็น การเป็นลมธรรมดา ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ช็อก และหมดสติ

ในขณะที่อยู่ในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ หรือมีอาการปวดอย่างรุนแรง จะทำให้มีภาวะเป็นลมธรรมดาได้ทุกเพศทุกวัย เนื่องจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอชั่วคราว สามารถฟื้นได้เองภายใน 1 นาที หรือไม่เกิน 2-3 นาที

2. หมดสติ
มีสาเหตุการเกิดได้มากมาย เป็นภาวะที่ร้ายแรง ถ้าไม่รักษาให้ทันท่วงทีอาจถึงแก่ชีวิตได้ และมักเป็นอาการสุดท้ายก่อนเสียชีวิต

-เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ จมน้ำ แพ้ยา กินยาพิษ ไฟฟ้าช็อต

-เกิดจากการติดเชื้อ เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ

-เกิดจากการล้มเหลวของอวัยวะอื่นๆ เช่น เบาหวาน ตับแข็ง ไตวาย เส้นเลือดสมองตีบ แตก หรือตัน

อาการอื่นที่มีประกอบด้วยในผู้ป่วย เช่น ชัก กระตุก เกร็ง คอแข็ง มีไข้สูง หากมีอาการรุนแรงจะทำให้การหายใจผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ หรืออาจหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น ต้องมีการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยการผายปอด นวดที่หน้าอกเพื่อกระตุ้นการเต้นของหัวใจ

สามารถทราบภาวะทางสมองได้ด้วยการดูที่ม่านตา ถ้าม่านตาขยายกว้าง เมื่อส่องไฟดูตาไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง ก็แสดงว่าสมองตายแล้ว ควรดูให้แน่ใจว่าผู้ป่วยใช้ยาอะไร เพราะบางครั้งอาจปรากฏอาการที่เหมือนกันได้

3. ช็อก
ความหมายในการแพทย์แผนปัจจุบันคือ ภาวะที่เนื้อเยื่อทั่วร่างกายมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความล้มเหลวของระบบไหลเวียนโลหิต ที่มาจากหลายสาเหตุ ซึ่งจะกระทบต่ออวัยวะสำคัญมากมาย

ผลของอาการช็อกที่มีต่ออวัยวะสำคัญต่างๆ ของร่างกาย

เนื้อเยื่อ

เริ่มช็อก

ช็อกนาน

ผิวหนัง ซีดและเย็น เขียว คล้ำ
ไต ขับปัสสาวะน้อยลง เนื้อเยื่อไตตาย
ลำไส้ หยุดเคลื่อนไหว เยื่อบุลำไส้ตาย
ปอด หอบ หายใจเร็ว เนื้อถุงลมปอดตาย
ตับ เกิดการเปลี่ยนแปลงไขมันในตับ เนื้อตับตาย
สมอง สติสัมปชัญญะลดลง เนื้อสมองตาย
หัวใจ เต้นเร็ว เนื้อหัวใจตาย

การช็อกเกิดจากหลายสาเหตุคือ
-การตกเลือดทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทำให้ปริมาณเลือดลดลง เกิดจากการสูญเสียน้ำ

-ประสาทอัตโนมัติทำให้เส้นเลือดขยายตัวรุนแรงทันที

-การติดเชื้อที่รุนแรง ภาวะโลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ ไทฟอยด์ ถุงน้ำดีอักเสบ กรวยไตอักเสบ ฯลฯ

-กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลิ้นหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ฯลฯ

-เกิดจากการแพ้ หรือภาวะไวเกิน

-เกิดจากระบบต่อมไร้ท่อ

อาการเริ่มต้นของการชักคือ ซึม กระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเบาเร็วเกิน 100 ครั้ง/นาที ความดันต่ำ ตัวเย็น อวัยวะต่างๆ จะขาดเลือดไปเลี้ยงและหยุดทำงานเป็นลำดับหากไม่รีบรักษาโดยเร็ว และในที่สุดก็จะทำให้สมองตาย

4. หัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตาย
คือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการตีบตันชั่วคราวหรือถาวร มักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

การเกิดชั่วคราว ลักษณะของหลอดเลือดจะตีบแต่ไม่ถึงกับตัน ยังมีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ แต่เมื่อออกแรงมากๆ การเครียดจัด โกรธจัด จะทำให้ต้องการออกซิเจนมากขึ้น ผู้ป่วยจึงมักจะมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงเหมือนมีอะไรมากดทับ และร้าวมาที่ไหล่หรือคอ มักเป็นเพียงบางคราว อาจมีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ คล้ายท้องอืดท้องเฟ้อในบางราย มักจะเจ็บอยู่ประมาณ 2-3 นาทีแล้วก็หายไป

ถ้าหลอดเลือดอุดตันสนิท มักทำให้มีอาการรุนแรงกว่า และนานกว่าแบบชั่วคราว มักทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ใจสั่น หน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ช็อก หมดสติ อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้หากไม่รักษาให้ทันท่วงที

ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักมีปัจจัยที่ทำให้เกิด เช่น การสูบบุหรี่จัด ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน อ้วน ขาดการออกกำลังกาย

5. หัวใจวาย
เป็นภาวะที่หัวใจสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ไม่เต็มที่ หรือสูบฉีดไม่ได้ ทำให้มีเลือดคั่งอยู่ตาม ปอด ตับ แขน ขา และอวัยวะอื่นๆ อาจมีอาการแบบฉับพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป หากรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ ถือเป็นภาวะร้ายแรงอย่างหนึ่ง ถ้าปล่อยไว้นานจนเรื้อรังจะทำให้เกิดโรคตับแข็งตามมา

สาเหตุที่เกิดจากโรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน หรือการดื่มสุราจัด เป็นต้น

อาการระยะแรกที่สำคัญคือ มีอาการหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ หายใจลำบาก ปวดแน่นที่ชายโครง ตัวบวม เท้าบวม ท้องมาน อาการจะมีมากขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา จะมีอาการหอบเหนื่อย ไอ เสมหะเป็นฟองสีแดงเรื่อๆ ตัวเขียว ริมฝีปากเขียว กระสับกระส่าย ใจสั่น และในที่สุดก็จะเสียชีวิตลง

6. ไตวาย
เป็นภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานได้หรือทำได้น้อย เนื่องจากเนื้อไตทั้งสองข้างถูกทำลายไป ร่างกายไม่สามารถขับน้ำและของเสียออกมาได้ เกิดสารพิษคั่งในร่างกาย ความเป็นกรดด่างในร่างกายไม่สมดุลกัน อวัยวะทุกส่วนในร่างกายผิดปกติเนื่องจากเกิดภาวะพร่องฮอร์โมน เป็นภาวะร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมาก

สาเหตุการเกิดโรคต่างๆ มีดังนี้
ไตวายเฉียบพลัน มีสาเหตุจากภาวะช็อก โรคหัวใจและหลอดเลือด การติดเชื้อแบบรุนแรง ภาวะโลหิตเป็นพิษ โรคไตอักเสบ ภาวะหลอดเลือดในไตผิดปกติ ทางเดินปัสสาวะเกิดการอุดกั้น เกิดจากพิษงู พิษสารเคมี ครรภ์เป็นพิษ การแตกของเม็ดเลือดแดง

ไตวายเรื้อรัง เกิดจากโรคอื่นแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน ความดันสูง โรคไตทุกประเภท โรคเกาท์

อาการสำคัญที่พบ
ไตวายแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักมีปัสสาวะออกน้อยกว่า 400 ซีซี/24 ชั่วโมง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย

ไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องเดิน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตามัว ผิวหนังแห้งสีคล้ำ ขาดสมาธิ คันตามผิวหนัง ชาปลายมือปลายเท้า หอบเหนื่อย ใจหวิว สะอึก เป็นตะคริว มีจุดแดงจ้ำเขียวตามร่างกาย เลือดออกตามผิวหนัง อาเจียนเป็นเลือด ซึม ชัก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด

อวัยวะสำคัญต่างๆ จะมีความเกี่ยวเนื่องจนถึงจุดจบที่ระบบหัวใจล้มเหลว เนื้อสมองตายจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ

ในอดีตหากคนไข้ไม่ยอมกินอะไร หรือหมดสติก็ไมสามารถช่วยอะไรได้ เพราะในสมัยก่อนจะไม่มีน้ำเกลือ หรือการฉีดยา ไม่มีการนวดหัวใจ และตายลงอย่างสงบ บางรายที่ยังพอมีสติอยู่ก็เพ้อว่าเห็นสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะเสียชีวิตไป แต่วิธีการรักษาในปัจจุบันสามารถทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอดได้เป็นจำนวนมาก หากมีการผสมผสานระหว่างแพทย์แผนไทยกับการรักษาในทางการแพทย์แผนปัจจุบันก็คงจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยไม่น้อย

ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดยอาจารย์แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า