สำหรับผู้ใส่ใจในการรักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

ลมมีพิษ 6 จำพวกที่ทำให้เกิดโรคลม

ลม 6 จำพวกที่มีพิษ ได้แก่ ลมกาฬสิงคลี ลมชิวหาสดมภ์ ลมมหาสดมภ์ ลมทักขิณโรธ ลมตติยาวิโรธ ลมอีงุ้มอีแอ่น และยังมี ลมอินทรธนู ลมกุมภัณฑ์ยักษ์ ลมอัศมุขี ลมราทธยักษ์ ลมบาดทะจิต ลมพุทธยักษ์ หากลมเหล่านี้เกิดกับผู้ใด จะเยียวยารักษาได้ยากนัก

-ลมกาฬสิงคลี จะทำให้มีอาการหน้าเขียว ขอบตาเขียว ใจสั่น หายใจติดขัด ดิ้นทุรนทุราย มีรอยตามร่างกายเป็นวงสีดำ แดง เหลือง ขาว เท่าใบพุทรา เท่าแว่นน้ำอ้อย มีกำหนด 3 วัน

คำว่ากาฬ ในสมัยโบราณเขียนได้สองแบบคือ กาล กับ กาฬ กาลมาจากคำว่า “กาโล” แปลว่า กาล ส่วนกาฬ มาจากคำว่า “กาโฬ” แปลว่า ดำ เขียว คราม สองคำนี้โบราณมักใช้กับโรคที่มีอาการหนักถึงตายและมีจ้ำตามตัว ดำ คล้ำ หรือปัสสาวะดำเป็นสีคราม ดังนั้น กาฬ จึงน่าจะเป็นคำที่มีความหมายถูกต้อง โรคนี้มักจะเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด เลือดเป็นพิษ หรือโรคที่ทำให้เลือดออกง่ายและตามตัวมีจ้ำเลือด โรคเกี่ยวกับตับ เช่น ตับวาย โบราณก็ใช้เรียกด้วยคำนี้

-ลมชิวหาสดมภ์ เมื่อเริ่มจับไข้มักจะมีอาการหาว เรอ คลื่นเหียน ขากรรไกรแข็ง ขบลงไม่ได้ ไม่รู้สึกตัว มีกำหนด 3-7 วัน

มักมีอาการทางสมอง หมดสติ หรือเส้นเลือดในสมอง ตีบ แตก ตัน

-ลมมหาสดมภ์ เมื่อเริ่มจับไข้จะมีอาการหาวนอน มีอาการทางสมอง หมดสติ เหมือนลมชิวหาสดมภ์

-ลมทักขิณโรธ เมื่อเริ่มจับจะเป็นไข้ มือเท้าเย็น ตามัว ลิ้นแข็ง คางแข็งพูดไม่ได้ ดิ้นรนกระสับกระส่าย

ส่วนใหญ่เป็นอาการทางสมองที่เกิดแบบกะทันหันจากเส้นเลือดในสมอง ตีบ ตัน แตก

-ลมตติยาวิโรธ จะมีอาการมือเท้าเย็น มีก้อนลมจุกอยู่ในท้อง ทำให้เจ็บปวดทรมาน หรืออาจปวดตั้งแต่หัวแม่เท้ามาจนถึงหัวใจ อาจทำให้หมดสติ อาจเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

-ลมอีงุ้มอีแอ่น เมื่อจับไข้จะมีอาการเหมือนเป็นสันนิบาต ที่เรียกว่าอีงุ้มคือตัวจะงอไปข้างหน้า และที่เรียกอีแอ่นก็มีบางส่วนงอไปข้างหลังด้วย อาจทำให้ตายได้เมื่อมีอาการมากๆ ซึ่งอาจเป็นไข้สันหลังอักเสบในปัจจุบัน

ส่วนลมมีพิษอีก 6 จำพวก ได้แก่ ลมอินทรธนู ลมกุมภัณฑ์ยักษ์ ลมอัศมุขี ลมราทธยักษ์ ลมบาดทะจิต ลมพุทธยักษ์

-ลมอินทรธนู เมื่อล้มไข้เหมือนรากสาด เป็นวงล้อมสะดือดำ สะดือแดง สะดือเขียว สะดือเหลือง เท่าวงน้ำอ้อย งบแต่ชายโครงตลอดจนหน้าผาก พานั้นให้อื้ออึงคะนึงอยู่ในใจ ให้เพ้อพกดังผีเข้าอยู่ ถ้าหญิงเป็นซ้าย ชายเป็นขวาอาการตัด

อาจเป็นเพราะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้มีอาการของเลือดเป็นพิษ

-ลมกุมภัณฑ์ยักษ์ ถ้าล้มไข้ลงดุจอย่างสันนิบาต เมื่อจับนั้นให้ชักมือกำชักเท้างอมิได้สมปฤดี มิเรียกมิรู้สมปฤดีเลย กำหนด 11 วัน

อาจเป็นอาการของการติดเชื้อ มีโรคแทรกในสมอง หรือมีไข้สูงจึงทำให้ชักได้

-ลมอัศมุขี เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ให้ดิ้นร้องแล้วชักแน่ไป มิได้สมปฤดีเลย

-ลมราทยักษ์ เมื่อล้มไข้ดุจอย่างสันนิบาต เมื่อจับไข้ให้ชักมือกำ ชักเท้างอ ลิ้นกระด้าง คางแข็ง กำหนด 11 วัน เหมือนกับลมกุมภัณฑ์ยักษ์

-ลมบาดทะจิต เมื่อล้มไข้ลงดุจอย่างสันนิบาต แรกจับให้ละเมอเพ้อพกว่านั่นว่านี่ ทำอาการดุจปีศาจเข้าอยู่ ลางทีว่าบ้าสันนิบาตก็ถูก เพราะเหตุจิตระส่ำระสายกำหนด 10 วัน

เป็นอาการมีไข้ร่วมกับถ่าย ทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุ แคลเซียม โซเดียม จึงเกิดอาการทางสมอง คนโบราณจึงเข้าใจว่าเป็นบ้า

-ลมพุทธยักษ์ ให้ชักกระสับกระส่าย ให้ขบฟัน เหลือกตา ให้มือกำเท้างอ ปากเบี้ยว จักษุแหก แยกแข้งแยกขาหาสมปฤดีมิได้ ลมจำพวกเหล่านี้เยียวยายากนัก เป็นปัจฉิมแห่งโรค แล้วพิจารณาดูทวารหนักทวารเบา ถ้ายังอุ่นอยู่ให้แก้ต่อไป ประการหนึ่งให้ดูผิวเนื้อ นิ้วมือกดลงแล้วยกขึ้นดูหาโลหิตมิได้ รอยนิ้วกดทียกขึ้นเป็นรอยเขียวซีด อาการตัดแล

อาจเป็นอาการทางสมอง เช่น สมองอักเสบ ติดเชื้อรุนแรง เลือดเป็นพิษ

โลหิตให้โทษแก่สตรีคลอดบุตร แลชายต้องบาดโลหิตตีขึ้นไป ถึงแก่วินาศเป็นอันมาก แลโลหิตทำพิษตีขึ้นดัง อาศัยลมจึงตีขึ้นไปได้ อุปมาเหมือนคลื่นอันอาศัยลมๆ กล้า แล้วซัดท่วมขึ้นไปบนฝั่งแลภูเขา อันโลหิตตีขึ้นไปให้ชายให้หญิงถึงแก่พินาศนั้น ก็อาศัยลมจำพวกนี้ โลหิตจึงเป็นฟอง ดังบุคคลเคี่ยวด้วยเพลิงละร้อยละพันหน มีไออันฟุ้งขึ้นไปด้วยกำลังวาโยธาตุ ยังหทัย ยังดี ยังตับ ยังม้าม ให้เศร้าหมองเชื่อมมึน มีหัวใจระส่ำระสายซบเซา ก็บังเกิดลมสัตถกวาตะ ลมหทัยวาตะกำเริบ กระทำให้จักษุไม่เห็น โสตประสาทมิได้ยิน ชิวหาแลนาสิกมิรู้จักรสกลิ่นสิ่งใด หาสติสมปฤดีมิได้ มีหทัยวัตถุก็แตกออก ถึงแก่พินาศเพราะด้วยกำลังลมพัด เอาโลหิตตีขึ้นไปมีไออันร้อน ประดุจลมอันพัดน้ำกระทำให้เป็นคลื่นตีล้นตลิ่งขึ้นไปนั่นแล

หลังคลอดอาจทำให้มีการติดเชื้อ มดลูกอักเสบ เลือดเป็นพิษ

ถ้าลม 6 จำพวกนี้มิได้พัดโลหิต ก็จะไม่มีโทษ แพทย์ต้องพิจารณาว่าลมนั้นเกิดขึ้นในเส้น เนื้อ โลหิต กระดูก ผิวหนัง หรือหัวใจ แล้วค่อยพิจารณาหายามารักษาให้เหมาะกับโรค

ถ้าลมเกิดในเส้น ให้นวด ประคบ กินยาแก้ลมในเส้นก็จะช่วยให้หายได้

ถ้าลมเกิดในโลหิต ให้ใช้ปลิงดูดเลือดออกจากศีรษะ แล้วกินยาทางลมโลหิตจะช่วยได้

ถ้าลมเกิดที่ผิวหน้า ให้ทายา เอาถ้วยลนเทียนให้เป็นสุญญากาศ แล้ววางบนผิวหนัง ถ้วยจะดูดหนังขึ้นมา และให้กินยาทางลม จะรักษาได้

ลมจากปถวีธาตุกำเริบ ลมอาโปธาตุเป็นฟอง
จะทำให้มีอาการบวม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ไต โลหิตจางอย่างรุนแรง

สันนิบาตโลหิต
สันนิบาตโลหิตให้เจ็บ ให้ไอ ให้เสียงแหบ แลเป็นเม็ดดังเม็ดทราย แต่ลำคอไปจนถึงช่องอุจจาระปัสสาวะ ให้คันระคาย บางทีให้ลงบางทีให้ผูก ให้ฟกบวมทั่วสารพางค์กาย ถ้าแลเส้นประธานทับจักรแล้วแก้ไม่ได้ ถ้าห่างจักรอยู่ถึงจะหอบไอเสียงแห้ง ฟกบวก แลสันนิบาต 7 จำพวก

อาการบวมทั้งตัวอาจเกิดจากสาเหตุของโรคไต โรคหัวใจ หรือซีดมาก

อสุรินธัญญาณธาตุ
มีอยู่ 4 ลักษณะคือ สมาธาตุ วิสมาธาตุ ฏิกธาตุ มันทาธาตุ

-สมาธาตุ คือ เตโชธาตุชื่อ ปริณามัคคี น้อยหรืออ่อนไป มีอาการอาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร ท้องอืดท้องเฟ้อ พะอืดพะอม ควรรับประทานยาบำรุงเตโชธาตุก่อน แล้วจึงให้ยาตามสมุฏฐานธาตุและฤดูต่อไป

-วิสมาธาตุ คือ เตโชธาตุชื่อ ชิรณคคี ทำให้ร่างกายแปรปรวน มีอาการแน่นอก แน่นท้อง ท้องเสีย อยากกินอาหารบ่อยๆ แต่จะถ่ายท้องทันที ทำให้มีก้อนแข็งในท้อง ควรให้รับประทานยาวาโยธาตุก่อน แล้วจึงค่อยให้ยาแก้ในกองเตโชธาตุตามสมุฏฐานและฤดูต่อไป

-ฏิกธาตุ คือ เตโชธาตุชื่อ ปริณามัคคี มีอาการรุนแรง รับประทานอาหารไม่รู้จักอิ่ม อาหารที่กินเข้าไปจะถูกย่อยละเอียดไปโดยเร็ว มีไข้ อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ควรให้รับประทานยาที่มีรสเย็นขมก่อน แล้วค่อยให้ยาเย็นอื่นแก้ต่อไป อาหารที่ให้ก็ควรเป็นของเย็น เช่น กล้วย แตงโม แตงกวา เป็นต้น

-มันทาธาตุ คือเสมหะสมุฏฐานกำเริบ ทำให้เตโชธาตุในกอง สนฺตปฺปคฺคี ปริณามคฺคี ลดลง ทำให้ถ่ายเหลววันละ 2-4 ครั้ง ให้รับประทานยาชูกำลังก่อน แล้วค่อยให้ยารสเผ็ดร้อนแก้กองเตโชธาตุ แก้ท้องขึ้นเฟ้อเสียดแทง เมื่ออาการทุเลาลงจึงค่อยให้ยาแก้ในกองเตโชธาตุตามสมุฏฐานธาตุและฤดูต่อไป

-สมาธาตุ จะมีอาการเป็นเวลา เช่น ตัวร้อน เท้าเย็น กระสับกระส่าย เจ็บหน้าอก ไม่รู้รสของอาหาร หน้ามืด ซึ่งมีเหตุมาจากเสมหะสมุฏฐาน ปิตตะสมุฏฐาน วาตะสมุฏฐาน เกิดขึ้นพร้อมกันในกองปถวี

ในแผนปัจจุบันมีโรคอยู่ 2 โรคที่กินอาหารได้มาก กินบ่อย แต่ไม่อ้วน คือ โรคคอพอกเป็นพิษ กับโรคเบาหวาน อาการของโรคคอพอกมักจะทำให้ใจสั่น หิวบ่อย อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตาโปน ส่วนเบาหวานจะทำให้มีอาการกินได้บ่อยๆ ปัสสาวะบ่อย ผอม ติดเชื้อได้ง่าย เซลล์เอาน้ำตาลไปใช้ไม่ได้จึงทำให้น้ำตาลในเลือดมีสูง ทำให้มีปัญหาในการสร้างอินซูลินของตับอ่อน คนไทยมักเป็นเบาหวานกันมากขึ้นเพราะกินผักน้อย ทั้ง 2 โรคนี้น่าจะเกี่ยวกับธาตุไฟ แล้วส่งผลไปยังธาตุลม ในสมัยโบราณอาจมีโรคเบาหวานมานานแล้วแต่ไม่ได้ตั้งชื่อเฉพาะโรคไว้ เพราะอาการจัดอยู่รวมๆ ในธาตุทั้ง 4 หย่อน กำเริบ พิการ โดยเฉพาะธาตุไฟ ปัจจุบันพิสูจน์ได้ว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่กินของรสขมจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้

ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดยอาจารย์แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

↑ กลับสู่ส่วนบนของหน้า